วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สเปเชียลโอลิมปิคไทย

ทุกๆสองปีนักกีฬา ‘คนพิเศษ’จากทั่วประเทศจะมารวมตัวกัน ในการแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติ คนพิเศษในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีภาวะผิดปรกติทางสมองเป็นโรคออทิสติก ดาวน์ซินโดรม ฯลฯ
ซึ่งในปีนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จทรงเป็นประธานเปิดการแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติ ในวันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ 2551
จุดมุ่งหมายของการแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาตินั้น เพื่อเป็นกิจกรรมให้คนพิเศษที่ส่วนใหญ่ถูกจำกัดให้มีชีวิตอยู่ในวงแคบๆแค่ในบ้านหรือโรงเรียนกินนอน ให้มีกิจกรรมสังคม ให้ได้รู้จักโลกภายนอก พบปะเพื่อนใหม่ การแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติมองผลลัพธ์เรื่องสุขภาพกาย เป็นประเด็นรองลงไปจากการที่จะให้กีฬาเป็นจุดเริ่มต้นให้คนพิเศษหลายคนรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง การแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกไม่ได้เน้นในเรื่องของผลการแข่งขัน ไม่ได้มองค่าความสำเร็จของคนอยู่ที่เหรียญรางวัลแต่คำว่าประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การได้เหรียญทอง แต่คือการที่พวกเขาได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำได้ จากคนที่ไม่เคยปาอะไรได้ ก็ปาได้ถูก จากคนที่ไม่เคยวิ่งถึงเส้นชัย ก็วิ่งถึง
ประเภทกีฬาที่มีการแข่งขันในกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติได้แก่

สเปเชียลโอลิมปิคไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2530 โดย คุณหญิงโสภร วงศ์สวรรค์ เป็นประธานท่านแรก เริ่มดำเนินการภายใต้มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ต่อมาอีก 4 ปี ในสมัยที่ คุณหญิงวิจันทรา บุนนาค เป็นประธาน สเปเชียลโอลิมปิคไทยได้จดทะเบียนเป็นสมาชิกสมาคมกีฬาของการกีฬาแห่งประเทศไทย เมื่อถึงวาระที่ ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ เป็นประธานท่านได้รับเชิญให้เป็นกรรมการของคณะกรรมการการอำนวยการสเปเชียลโอลิมปิคสากล (Special Olympics International) ในปี 2538 ทุกวันนี้ประเทศไทยมีนักกีฬาสเปเชียลโอลิมปิคในโครงการมากกว่า 13,000 คน โดยครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย เปิดโอกาสให้มีการเล่นกีฬาที่หลากหลาย อาทิ กรีฑา ฟุตบอล บาสเกตบอล บอชชี่ ปิงปอง ว่ายน้ำ เทนนิส และการฝึกทักษะกลไกให้กับผู้ที่พิการซ้ำซ้อน ประธานปัจจุบันของสเปเชียลโอลิมปิค คือ รองศาสตราจารย์ ดร.นริศ ชัยสูตร

ข้อมูลของโรคภาวะผิดปรกติทางสมอง
โรคออทิสติก
โรคออทิสติกเป็นโรคทางจิตเวชเด็ก โรคนี้ถูกรายงานตั้งแต่ปี 1943 โดยจิตแพทย์เด็กชื่อ แคนเนอร์ เขาพบว่าเด็กมีอาการแปลก ๆ เช่น พูดเลียนเสียง พูดช้า ทำซ้ำ ๆ สื่อสารไม่เข้าใจ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจคนอื่น เล่นไม่เป็น เขาได้ติดตามอาการของเด็กจำนวน 11 คน เป็นเวลา 5 ปี พบว่ามีความแตกต่างจากเด็กปัญญาอ่อน จึงเรียกเด็กเหล่านี้ว่า ออทิสติก ซึ่งแปลว่า แยกตัวอยู่ในโลกของตัวเอง หลังจากนั้นนักวิชาการได้ทำการศึกษารายละเอียดของโรค พบว่าเด็กจะมีความผิดปกติก่อนอายุ 3 ปี และมีความรุนแรงไม่เท่ากัน พฤติกรรมที่สามารถเห็นในเด็ก ได้แก่ พัฒนาการทางสังคมล่าช้า การสื่อความหมายและจินตนาการมีความผิดปกติไปจากเด็กในวัยเดียวกัน ไม่สามารถสื่อความหมายกับบุคคลรอบข้าง เมื่อถึงวัยที่ควรจะพูดก็พูดไม่ได้ทั้งที่ไม่มีอาการหูหนวก ต่อมาเริ่มพูดภาษาตนเองที่มนุษย์ฟังไม่เข้าใจ เด็กไม่สามารถเข้าใจคำสั่งง่าย ๆได้ เล่นกับใครไม่เป็น เล่นของเล่นไม่เป็น เนื่องจากขาดจินตนาการอุบัติการณ์พบได้ประมาณ 4:1000 ของเด็กทั่วไป พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง อัตราการเกิดของเพศชาย : เพศหญิง = 4-5:1สาเหตุของโรคโรคออทิสติกมีสาเหตุจากภาวะต่าง ๆ มากมาย สิ่งใดก็ตามที่ทำให้ภาวะสมองผิดปกติไปอาจเกิดตั้งแต่เด็กอยู่ใครรภ์มารดา ระหว่างการคลอดหรือภายหลังการคลอด เช่น มารดาเป็นโรคหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ เด็กขาดออกซิเจนระหว่างการคลอด หรือการเจ็บป่วยของเด็กหลังคลอด มีหลักฐานแสดงว่า เด็กออทิสติกมีความผิดปกติทางหน้าที่สมอง เด็กออทิสติก ร้อยละ 25-30 มีอาการของโรคลมชักในระยะเริ่มต้น การตรวจคลื่นสมองด้วยไฟฟ้า พบว่ามีความผิดปกติของคลื่นสมองแบบไม่เฉพาะเจาะจงมากกว่าเด็กทั่วไป จากการศึกษาวิจัยของแพทย์ทางระบบประสาทและทางพยาธิวิทยาพบว่าสมองของเด็กออทิสติก มีเซลล์สมองผิดปกติอยู่ 2 แห่ง คือ บริเวณที่ควบคุมด้านความจำ อารมณ์และแรงจูงใจ และส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ลักษณะของเซลล์ที่พบคือเป็นเซลล์ที่ไม่พัฒนาไปตามวัยของเด็ก สำหรับปัจจัยทางด้านการเลี้ยงดูนั้น ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงแต่เป็นสาเหตุส่งเสริมที่ทำให้เด็กท่เป็นออทิสติกอยู่แล้วมีอาการมากขึ้นหรือช่วยให้อาการของเด็กดีขึ้นการวินิจฉัยโรคออทิสติกการวินิจฉัยโรคประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้1. การซักประวัติ จากบิดามารดา หรือผู้เลี้ยงดู2. การตรวจและประเมินเพื่อการวินิจฉัย3. การสังเกตพฤติกรรมของเด็กเพื่อประกอบการวินิจฉัย4. การตววจวินิจฉัยทางการแพทย์การรักษาปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคออทิสติกโดยเฉพาะ การรักษาทางยาในปัจจุบันเป็นการใช้ยารักษาตามอาการ เพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เชน อาการไม่หยุดนิ่ง ไม่มีสมาธิ พฤติกรรมก้าวร้าว และจะใช้ยาก็ต่อเมื่อใช้วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วไม่ได้ผลบิดารมารดาหรือผู้ที่ดูแลเด็กเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด ถ้าสังเกตเห็นว่าบุตรหลานของตนมีอาการดังที่กล่าวมาควรพาไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาได้ทันท่วงที สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับท่าน
โรคดาวน์ซินโดรม
กลุ่มอาการดาวน์หรือดาวน์ซินโดรม เป็นโรคพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่พบได้บ่อยที่สุด เด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีศีรษะค่อนข้างเล็ก แบน และตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก ลิ้นมักยื่นออกมา ตัวค่อนข้างเตี้ย มือสั้น มักมีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือโรคลำไส้อุดตันตั้งแต่แรกเกิด เด็กพวกนี้จะมีใบหน้าคล้ายคลึงกันมากกว่าพี่น้องท้องเดียวกัน ปัญหาสำคัญที่สุดของเด็กเหล่านี้ก็คือ ภาวะปัญญาอ่อน นอกจากนี้ก็คือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และภาวะต่อมไทรอยด์บกพร่อง
โดยทั่วไปเด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีใบหน้าและรูปร่างลักษณะที่จำเพาะ แพทย์ พยาบาล สามารถให้การวินิจฉัยได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้อาจสังเหตได้จากลักษณะของเด็กที่ตัวค่อนข้างนิ่ม หรืออ่อนปวกเปียก การมีพัฒนาการที่ล่าช้า เช่น นั่งช้า ยืนช้า เดินช้า และพูดช้า หากลูกของท่านมีลักษณะดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์
การตรวจสอบว่าลูกของท่านเป็นกลุ่มอาการดาวน์จริง ก็โดยการตรวจวิเคราะห์โครโมโซม ซึ่งทำได้ที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ และโรงเรียนแพทย์ทุกแห่ง โครโมโซมซึ่งเป็นแท่งนำสารพันธุกรรมในคนเราจะมีจำนวน 46 แท่งด้วยกัน ในหนึ่งเซลล์เพศหญิงจะเป็น 46,XX และเพศชายจะเป็น 46,XY หากจำนวนโครโมโซมน้อยไปหรือมากเกินไปก็ก่อให้เกิดปัญหาที่รุนแรง ได้แก่ ภาวะปัญญาอ่อน หรือแท้งบ่อยๆ หรือความพิการแต่กำเนิด
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดก็คือ การมีโครโมโซมเกินไป 1 แท่ง คือ โครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 แท่ง แทนที่จะมี 2 แท่ง ความผิดปกติแบบนี้แพทย์เรียกว่า TRISOMY 21 ซึ่งพบได้ถึง 95% สาเหตุรองลงมาเรียกว่า TRANSLOCATION คือมีโครโมโซมย้ายที่ เช่น โครโมโซมคู่ที่ 14 มายึดติดกับคู่ที่ 21 เป็นต้น พบได้ 4% ส่วนสาเหตุที่พบได้น้อยที่สุดคือมีโครโมโซมทั้ง 46 และ 47 แท่งในคนๆ เดียว พบได้เพียง 1% เท่านั้นเรียกว่า MOSAIC
เนื่องจากกลุ่มอาการดาวน์มีภาวะปัญญาอ่อนเป็นปัญหาสำคัญปัจจุบันยังไมีมีการรักษา ที่สำคัญที่สุดและมีประโยชน์มากก็คือ การกระตุ้นพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อายุ 1-2 เดือนหลังคลอด เพื่อให้เด็กเหล่านี้สามารถยืนได้ เดินได้ ช่วยตนเองได้มากที่สุด และเป็นภาระน้อยที่สุด จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าการกระตุ้นพัฒนาการ จะช่วยเพิ่มพูนศักยภาพได้อย่างชัดเจนและจะได้ผลดีที่สุด หากทำในระยะ 2 เดือนถึง 2 ปีแรกของชีวิต นอกจากนั้นก็ควรมีการฝึกพูดอย่างสม่ำเสมอโดยเริ่มตั้งแต่อายุ 12-15 เดือน
เด็กเหล่านี้จะมีเชาวน์ปัญญาอยู่ในระดับปัญญาอ่อนปานกลาง แต่สามารถฝึกทักษะได้ผล (TRAINABLE) ปัจจุบันมีความโน้มเอียงที่จะให้เด็กกลุ่มอาการดาวน์เข้าศึกษาร่วมกับเด็กปกติในโรงเรียนธรรมดามากขึ้น เช่น โรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมใกล้บ้านของท่าน
โรงพยาบาลราชานุกูล กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีโรงเรียนและสาขาหลายแห่งที่ให้การศึกษา และฝึกทักษะให้เด็กเหล่านี้มีความสามารถประกอบอาชีพได้ แต่จำเป็นต้องมีการดูแล ควบคุมตลอดไป สถานที่ดังกล่าวมีอยู่น้อยแห่งในประเทศไทย ในต่างจังหวัดมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อน ในพระรชินูปถัมภ์ มีสาขาที่ จ.เชียงใหม่ ในภาคเหนือ จ.อุดรธานีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจ.นครศรีธรรมราชภาคใต้ เป็นต้น สำหรับสถาบันเอกชนที่จัดตั้งขึ้นยังมีน้อยแห่ง เช่น มูลนิธิสถาบันแสงสว่าง
กลุ่มอาการดาวน์นี้สามารถป้องกันได้โดยการวินิจฉัยก่อนคลอด ปัจจุบันมักทำกันในหญิงตั้งครรภ์ที่อัตราเสี่ยงสูง เช่น อายุมากกว่า 35 ปี ขึ้นไป โดยแพทย์สมารถเจาะน้ำคร่ำมาตรวจดูโครโมโซมของเด็กในครรภ์ว่าผิดปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติคู่สามีภรรยาอาจเลือกยุติการตั้งครรภ์ได้ก่อนพิจารณาทำการวินิจฉัย
ก่อนคลอดควรปรึกษาแพทย์เสมอเป็นสิ่งจำเป็นแก่พ่อแม่ที่มีลูกปัญญาอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาการดาวน์ เพราะพบได้บ่อยที่สุด โดยมีอุบัติการณ์ของโรคประมาณ 1 ต่อ 1,000 เป็นการให้ความรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคที่ลูกของท่านเป็น ตลอดจนการดูแลรักษาและให้ความช่วยเหลือต่างๆ ที่บุตรของท่านควรได้รับ เพื่อเขาจะได้พัฒนาและมีศักยภาพที่ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้

กรีฑา(ลู่-ลาน)
ว่ายน้ำ
บาสเก็ตบอลทีมและทักษะ
ฟุตบอลทีมและทักษะ
เทเบิลเทนนิสประเภทเดี่ยวและทักษะ
เทนนิส
แบดมินตันประเภทเดี่ยว
บอชชี่
แอร์โรบิคส์ (ฟลอร์เอ็กเซอร์ไซด์)

การแข่งขันเต้นแอร์โรบิคส์ เป็นการแข่งขันกิจกรรมท่าประกอบจังหวะ โดยจะพิจารณาจากการเต้นที่เข้ากับจังหวะดนตรี ลีลาความสวยงามของการเต้น ท่าทางที่แสดงการออกกำลังควบคุมทุกส่วนของร่างกาย และ ความพร้อมเพรียง นักกีฬาที่เข้าแข่งขันรายการนี้เป็นผู้พิการระดับปัญญาอ่อนปานกลาง และระดับปัญญาอ่อนน้อย ที่มีความสามารถในการเล่นกีฬาอื่นๆ ด้วย แบ่งออกเป็นรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี และ รุ่น 16 ปีขึ้นไป
การแข่งขันทักษะกลไก (MATP-Motor Activity Training Program) เป็นกิจกรรมที่ออกแบบมาเพื่อผู้ที่มีความพิการทางสมองและปัญญาเป็นอย่างมาก รวมถึงผู้ที่พิการซ้ำซ้อน ซึ่งไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันสเปเชียล โอลิมปิคในกีฬามาตรฐานได้ กิจกรรมทักษะกลไก (Motor Activity Training Program) เป็นกิจกรรมที่เน้นให้นักกีฬาได้พัฒนาสุขภาพและการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ เพื่อช่วยให้นักกีฬามีทักษะ และความสามารถในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ออกสู่สังคม

การแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติไม่ได้มีการให้เหรียญรางวัลแก่ผู้ชนะลำดับที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม อย่างเดียวเหมือนกับการแข่งขันกีฬารายการอื่น เพราะคนพิเศษทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน ถ้าสามารถลงแข่งได้อย่างถูกต้องตามกติกา ก็จะมีเหรียญรางวัล ซึ่งเป็นริบบิ้นห้อยคอพร้อมลำดับที่ตนเองทำได้ เป็นรางวัลแห่งความภูมิใจกลับไปกันทุกคน เพราะสำหรับคนพิเศษแล้ว การแข่งขันกีฬาให้ถูกกติกามันยากมากๆไม่ง่ายเหมือนคนทั่วไป สมมุติว่าแข่งวิ่ง การจะวิ่งให้ครบรอบตามกติกาสำหรับคนพิเศษไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเขารู้สึกเหนื่อยเขาก็จะหยุด แต่ถ้าเขาเหนื่อยแต่ยังวิ่งจนสำเร็จ เราต้องยกย่องเขา แม้ว่าจะไม่ได้เข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่งก็ตาม
การแข่งขันกีฬาสปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติจัดขึ้นโดยสมาคมกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งไทย ซึ่งมีประวัติความเป็นมาดังนี้

สเปเชียลโอลิมปิคไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2530 โดย คุณหญิงโสภร วงศ์สวรรค์ เป็นประธานท่านแรก เริ่มดำเนินการภายใต้มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ต่อมาอีก 4 ปี ในสมัยที่ คุณหญิงวิจันทรา บุนนาค เป็นประธาน สเปเชียลโอลิมปิคไทยได้จดทะเบียนเป็นสมาชิกสมาคมกีฬาของการกีฬาแห่งประเทศไทย เมื่อถึงวาระที่ ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ เป็นประธานท่านได้รับเชิญให้เป็นกรรมการของคณะกรรมการการอำนวยการสเปเชียลโอลิมปิคสากล (Special Olympics International) ในปี 2538 ทุกวันนี้ประเทศไทยมีนักกีฬาสเปเชียลโอลิมปิคในโครงการมากกว่า 13,000 คน โดยครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย เปิดโอกาสให้มีการเล่นกีฬาที่หลากหลาย อาทิ กรีฑา ฟุตบอล บาสเกตบอล บอชชี่ ปิงปอง ว่ายน้ำ เทนนิส และการฝึกทักษะกลไกให้กับผู้ที่พิการซ้ำซ้อน ประธานปัจจุบันของสเปเชียลโอลิมปิค คือ รองศาสตราจารย์ ดร.นริศ ชัยสูตร

ข้อมูลของโรคภาวะผิดปรกติทางสมอง
โรคออทิสติก
โรคออทิสติกเป็นโรคทางจิตเวชเด็ก โรคนี้ถูกรายงานตั้งแต่ปี 1943 โดยจิตแพทย์เด็กชื่อ แคนเนอร์ เขาพบว่าเด็กมีอาการแปลก ๆ เช่น พูดเลียนเสียง พูดช้า ทำซ้ำ ๆ สื่อสารไม่เข้าใจ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจคนอื่น เล่นไม่เป็น เขาได้ติดตามอาการของเด็กจำนวน 11 คน เป็นเวลา 5 ปี พบว่ามีความแตกต่างจากเด็กปัญญาอ่อน จึงเรียกเด็กเหล่านี้ว่า ออทิสติก ซึ่งแปลว่า แยกตัวอยู่ในโลกของตัวเอง หลังจากนั้นนักวิชาการได้ทำการศึกษารายละเอียดของโรค พบว่าเด็กจะมีความผิดปกติก่อนอายุ 3 ปี และมีความรุนแรงไม่เท่ากัน พฤติกรรมที่สามารถเห็นในเด็ก ได้แก่ พัฒนาการทางสังคมล่าช้า การสื่อความหมายและจินตนาการมีความผิดปกติไปจากเด็กในวัยเดียวกัน ไม่สามารถสื่อความหมายกับบุคคลรอบข้าง เมื่อถึงวัยที่ควรจะพูดก็พูดไม่ได้ทั้งที่ไม่มีอาการหูหนวก ต่อมาเริ่มพูดภาษาตนเองที่มนุษย์ฟังไม่เข้าใจ เด็กไม่สามารถเข้าใจคำสั่งง่าย ๆได้ เล่นกับใครไม่เป็น เล่นของเล่นไม่เป็น เนื่องจากขาดจินตนาการอุบัติการณ์พบได้ประมาณ 4:1000 ของเด็กทั่วไป พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง อัตราการเกิดของเพศชาย : เพศหญิง = 4-5:1สาเหตุของโรคโรคออทิสติกมีสาเหตุจากภาวะต่าง ๆ มากมาย สิ่งใดก็ตามที่ทำให้ภาวะสมองผิดปกติไปอาจเกิดตั้งแต่เด็กอยู่ใครรภ์มารดา ระหว่างการคลอดหรือภายหลังการคลอด เช่น มารดาเป็นโรคหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ เด็กขาดออกซิเจนระหว่างการคลอด หรือการเจ็บป่วยของเด็กหลังคลอด มีหลักฐานแสดงว่า เด็กออทิสติกมีความผิดปกติทางหน้าที่สมอง เด็กออทิสติก ร้อยละ 25-30 มีอาการของโรคลมชักในระยะเริ่มต้น การตรวจคลื่นสมองด้วยไฟฟ้า พบว่ามีความผิดปกติของคลื่นสมองแบบไม่เฉพาะเจาะจงมากกว่าเด็กทั่วไป จากการศึกษาวิจัยของแพทย์ทางระบบประสาทและทางพยาธิวิทยาพบว่าสมองของเด็กออทิสติก มีเซลล์สมองผิดปกติอยู่ 2 แห่ง คือ บริเวณที่ควบคุมด้านความจำ อารมณ์และแรงจูงใจ และส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ลักษณะของเซลล์ที่พบคือเป็นเซลล์ที่ไม่พัฒนาไปตามวัยของเด็ก สำหรับปัจจัยทางด้านการเลี้ยงดูนั้น ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงแต่เป็นสาเหตุส่งเสริมที่ทำให้เด็กท่เป็นออทิสติกอยู่แล้วมีอาการมากขึ้นหรือช่วยให้อาการของเด็กดีขึ้นการวินิจฉัยโรคออทิสติกการวินิจฉัยโรคประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้1. การซักประวัติ จากบิดามารดา หรือผู้เลี้ยงดู2. การตรวจและประเมินเพื่อการวินิจฉัย3. การสังเกตพฤติกรรมของเด็กเพื่อประกอบการวินิจฉัย4. การตววจวินิจฉัยทางการแพทย์การรักษาปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคออทิสติกโดยเฉพาะ การรักษาทางยาในปัจจุบันเป็นการใช้ยารักษาตามอาการ เพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เชน อาการไม่หยุดนิ่ง ไม่มีสมาธิ พฤติกรรมก้าวร้าว และจะใช้ยาก็ต่อเมื่อใช้วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วไม่ได้ผลบิดารมารดาหรือผู้ที่ดูแลเด็กเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด ถ้าสังเกตเห็นว่าบุตรหลานของตนมีอาการดังที่กล่าวมาควรพาไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาได้ทันท่วงที สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับท่าน
โรคดาวน์ซินโดรม
กลุ่มอาการดาวน์หรือดาวน์ซินโดรม เป็นโรคพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่พบได้บ่อยที่สุด เด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีศีรษะค่อนข้างเล็ก แบน และตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก ลิ้นมักยื่นออกมา ตัวค่อนข้างเตี้ย มือสั้น มักมีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือโรคลำไส้อุดตันตั้งแต่แรกเกิด เด็กพวกนี้จะมีใบหน้าคล้ายคลึงกันมากกว่าพี่น้องท้องเดียวกัน ปัญหาสำคัญที่สุดของเด็กเหล่านี้ก็คือ ภาวะปัญญาอ่อน นอกจากนี้ก็คือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และภาวะต่อมไทรอยด์บกพร่อง
โดยทั่วไปเด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีใบหน้าและรูปร่างลักษณะที่จำเพาะ แพทย์ พยาบาล สามารถให้การวินิจฉัยได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้อาจสังเหตได้จากลักษณะของเด็กที่ตัวค่อนข้างนิ่ม หรืออ่อนปวกเปียก การมีพัฒนาการที่ล่าช้า เช่น นั่งช้า ยืนช้า เดินช้า และพูดช้า หากลูกของท่านมีลักษณะดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์
การตรวจสอบว่าลูกของท่านเป็นกลุ่มอาการดาวน์จริง ก็โดยการตรวจวิเคราะห์โครโมโซม ซึ่งทำได้ที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ และโรงเรียนแพทย์ทุกแห่ง โครโมโซมซึ่งเป็นแท่งนำสารพันธุกรรมในคนเราจะมีจำนวน 46 แท่งด้วยกัน ในหนึ่งเซลล์เพศหญิงจะเป็น 46,XX และเพศชายจะเป็น 46,XY หากจำนวนโครโมโซมน้อยไปหรือมากเกินไปก็ก่อให้เกิดปัญหาที่รุนแรง ได้แก่ ภาวะปัญญาอ่อน หรือแท้งบ่อยๆ หรือความพิการแต่กำเนิด
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดก็คือ การมีโครโมโซมเกินไป 1 แท่ง คือ โครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 แท่ง แทนที่จะมี 2 แท่ง ความผิดปกติแบบนี้แพทย์เรียกว่า TRISOMY 21 ซึ่งพบได้ถึง 95% สาเหตุรองลงมาเรียกว่า TRANSLOCATION คือมีโครโมโซมย้ายที่ เช่น โครโมโซมคู่ที่ 14 มายึดติดกับคู่ที่ 21 เป็นต้น พบได้ 4% ส่วนสาเหตุที่พบได้น้อยที่สุดคือมีโครโมโซมทั้ง 46 และ 47 แท่งในคนๆ เดียว พบได้เพียง 1% เท่านั้นเรียกว่า MOSAIC
เนื่องจากกลุ่มอาการดาวน์มีภาวะปัญญาอ่อนเป็นปัญหาสำคัญปัจจุบันยังไมีมีการรักษา ที่สำคัญที่สุดและมีประโยชน์มากก็คือ การกระตุ้นพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อายุ 1-2 เดือนหลังคลอด เพื่อให้เด็กเหล่านี้สามารถยืนได้ เดินได้ ช่วยตนเองได้มากที่สุด และเป็นภาระน้อยที่สุด จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าการกระตุ้นพัฒนาการ จะช่วยเพิ่มพูนศักยภาพได้อย่างชัดเจนและจะได้ผลดีที่สุด หากทำในระยะ 2 เดือนถึง 2 ปีแรกของชีวิต นอกจากนั้นก็ควรมีการฝึกพูดอย่างสม่ำเสมอโดยเริ่มตั้งแต่อายุ 12-15 เดือน
เด็กเหล่านี้จะมีเชาวน์ปัญญาอยู่ในระดับปัญญาอ่อนปานกลาง แต่สามารถฝึกทักษะได้ผล (TRAINABLE) ปัจจุบันมีความโน้มเอียงที่จะให้เด็กกลุ่มอาการดาวน์เข้าศึกษาร่วมกับเด็กปกติในโรงเรียนธรรมดามากขึ้น เช่น โรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมใกล้บ้านของท่าน
โรงพยาบาลราชานุกูล กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีโรงเรียนและสาขาหลายแห่งที่ให้การศึกษา และฝึกทักษะให้เด็กเหล่านี้มีความสามารถประกอบอาชีพได้ แต่จำเป็นต้องมีการดูแล ควบคุมตลอดไป สถานที่ดังกล่าวมีอยู่น้อยแห่งในประเทศไทย ในต่างจังหวัดมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อน ในพระรชินูปถัมภ์ มีสาขาที่ จ.เชียงใหม่ ในภาคเหนือ จ.อุดรธานีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจ.นครศรีธรรมราชภาคใต้ เป็นต้น สำหรับสถาบันเอกชนที่จัดตั้งขึ้นยังมีน้อยแห่ง เช่น มูลนิธิสถาบันแสงสว่าง
กลุ่มอาการดาวน์นี้สามารถป้องกันได้โดยการวินิจฉัยก่อนคลอด ปัจจุบันมักทำกันในหญิงตั้งครรภ์ที่อัตราเสี่ยงสูง เช่น อายุมากกว่า 35 ปี ขึ้นไป โดยแพทย์สมารถเจาะน้ำคร่ำมาตรวจดูโครโมโซมของเด็กในครรภ์ว่าผิดปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติคู่สามีภรรยาอาจเลือกยุติการตั้งครรภ์ได้ก่อนพิจารณาทำการวินิจฉัย
ก่อนคลอดควรปรึกษาแพทย์เสมอเป็นสิ่งจำเป็นแก่พ่อแม่ที่มีลูกปัญญาอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาการดาวน์ เพราะพบได้บ่อยที่สุด โดยมีอุบัติการณ์ของโรคประมาณ 1 ต่อ 1,000 เป็นการให้ความรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคที่ลูกของท่านเป็น ตลอดจนการดูแลรักษาและให้ความช่วยเหลือต่างๆ ที่บุตรของท่านควรได้รับ เพื่อเขาจะได้พัฒนาและมีศักยภาพที่ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้

อ้างอิงจาก
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ 2551 หน้าจุดประกาย
www.eduzones.com
www.goodhealth.in.th

ความสำคัญของบรรณาธิกร


มารู้จักกับคำว่าบรรณาธิกรและบรรณาธิการ
คำว่า "บรรณาธิกร" โดยทั่วไปมักเขียนว่า "บรรณาธิกรณ์" ทั้งนี้ มีนักวิชาการหลายท่านอธิบายว่า คำว่าบรรณาธิกรณ์มาจากคำบาลีว่า "บรรณ" รวมกับคำว่า "อธิกรณ์" คำว่า บรรณ หมายถึงหนังสือ คำว่า อธิกรณ์ หมายถึงเหตุ โทษ คดี เรื่องราว ดังนั้นคำว่าบรรณาธิกรณ์จึงหมายถึง เรื่องราวที่เกี่ยวกับหนังสือ ซึ่งจะเห็นว่าเป็นคำที่กว้างขวางมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ ก็เรียกว่าบรรณาธิกรณ์ได้ทั้งสิ้น

คำว่า "บรรณาธิกร" ตามพจนานุกรม ฉบับบัณฑิตราชสถาน พ.ศ.2525 คำว่าบรรณาธิกร เป็นคำโบราณ หมายถึง การรวบรวมและจัดเลือกเฟ้นเรื่องลงพิมพ์ จะเห็นว่าคำ ๆ นี้น่าจะตรงกับคำว่า Editing

ส่วนบรรณาธิการ หมายความว่า บุคคลซึ่งรับผิดชอบในการจัดทำตรวจแก้ คัดเลือก หรือควบคุมบทประพันธ์ หรือสิ่งอื่นในหนังสือพิมพ์

อย่างไรก็ดี ในวงการวารสารศาสตร์ ก็นิยมใช้ทั้ง 2 คำ โดยให้ความหมายที่เหมือนกันว่าตรงกับคำว่า Editing ในภาษาอังกฤษ หมายถึง การเตรียมการตรวจแก้ปรับปรุงต้นฉบับ การคัดเลือกเรื่อง การคัดเลือกอักษรพิมพ์ การพิสูจน์อักษร การพาดหัวข่าว การเขียนชื่อเรื่อง การใช้ภาพ และการวางรูปแบบการเข้าหน้า
จะเห็นว่า การบรรณาธิกร ก็คือกระบวนการเชื่อมต่อระหว่างการเขียนเรื่องและการเผยแพร่ออกไป เป็นกระบวนการที่ทำให้เรื่องซึ่งเป็นวัตถุดิบนั้นกลายสภาพไปอยู่บนสื่อที่จะส่งถึงผู้อ่านได้นั่นเอง


ความสำคัญของบรรณาธิกรหนังสือ

หนังสือในปัจจุบันถ้าเทียบกับในอดีตแล้วนับว่าพัฒนาไปมาก ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การจัดจำหน่ายจนมาถึงมือของผู้อ่าน อีกทั้งเนื้อหาสาระก็มีมากมายหลากหลายประเภทในเราได้เลือกอ่านกันนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือประเภท ตำราเรียนในสาขาหรือแขนงต่างๆ แล้วยังมีหนังสือประเภทหนังสือพิมพ์ นิตยสาร นวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี ชีวประวัติ ซุบซิบดารา ฯลฯ มีทั้งที่เป็นภาษาของเราเองและที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศ ให้เราได้อ่านกัน

โดยคุณองอาจ จิระอร (บก.อำนวยการสำนักพิมพ์อมรินทร์ฯ) กล่าวไว้ใน การอบรมเรื่องการหาต้นฉบับและนักเขียนในปีที่ผ่านมา ว่า จำนวนหนังสือที่ออกใหม่เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน มากถึง 2,000 เล่มต่อเดือน
(นั่นคือผลรายงานจากปีที่ผ่านมา) และในปัจจุบันมีแนวโน้มว่าจะมากขึ้น

เป็นที่น่าดีใจแทนนักอ่านทุกท่านที่มีหนังสือให้เลือกซื้อเลือกอ่านกันมากมายขนาดนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่จะเลือกอ่านและในสิ่งที่เลือกอ่านนั้นไม่รู้ว่าจะมีสาระมากน้อยแค่ไหน เพราะหนังสือที่ผลิตออกมานั้นก็มาก มีทั้งที่ได้มาตรฐาน และไม่ได้มาตรฐานในเรื่องรูปแบบและเนื้อหา จะเป็นประโยชน์หรืออาจจะเป็นการมอมเมาให้ผู้อ่านหลงผิด หากผู้อ่านยังมีวุฒิภาวะยังน้อย ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร อาจจะนำไปสู่การเลียนแบบ เมื่อเราเข้าไปในร้านหนังสือในแต่ละที่จะเห็นว่า หนังสือส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือที่ไม่ค่อยมีสาระ ผู้ผลิตเห็นว่าหนังสือประเภทไหนขายดี ก็พากันผลิตหนังสือประเภทนั้นออกมามาก โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับ

ฉะนั้นการผลิตหนังสือที่ดีมีคุณภาพได้ จำเป็นต้องอาศัย บรรณาธิการ เพราะบรรณาธิการจะเป็นบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการจัดทำตรวจแก้ คัดเลือก หรือควบคุมบทประพันธ์ หรือสิ่งอื่นในหนังสือพิมพ์ ดังที่ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความสำคัญของการบรรณาธิกร คือ การอ่านต้นฉบับอย่างละเอียดแบบ General reader เพื่อการตรวจข้อเท็จจริงและตรวจภาษา ขัดเกลาให้ถูกต้องตามแบบแผนการสื่อสารหรือตามไวยากรณ์เป็นสำคัญ และมิได้มุ่งที่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสำนวนหรือลีลาการเขียนของผู้เขียน แต่จะคงความเป็นแบบฉบับของผู้เขียนไว้ นอกจากนี้ การบรรณาธิกรอาจจะช่วยขจัดข้อความที่หมิ่นประมาท และข้อความที่เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ก็ได้อีกด้วย


ความรู้พื้นฐานสำหรับงานบรรณาธิการ
จารุวรรณ สินธุโสภณ (๒๕๔๒ ,หน้า ๕) ได้ให้คำแนะนำว่าเรื่องที่บรรณาธิการต้องหาความรู้เพื่อเป็นการเตียมตัว หรือต้องฝึกฝนให้ชำนาญได้แก่
๑. วิชาการ เมื่อบรรณาธิการจะต้องตรวจต้นฉบับงานวิชาการในสาขาใด จะต้องอ่านหนังสือ
วิชานั้นเพิ่มเติม การอ่านในวิชาช่วยให้ประเมินได้ว่าต้นฉบับชิ้นนั้นมีประเด็นสำคัญที่มีค่า ควรจัดพิมพ์ในขณะนั้นหรือไม่ ส่วนการอ่านเรื่องทั่วไปจะทำให้ผู้รอบรู้เหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวของวงการอื่นๆ และสภาวะสังคม ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจจัดพิมพ์ รวมทั้งต้องใช้ความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นช่วยพิจราณา
๒. ภาษา ควรเลือกอ่านภาษาในข้อเขียนที่ใช้ภาษาดี วรรณกรมคลาสสิก หนังสือที่ได้รับรางวัล
ในทางการใช้ภาษา รวมทั้งหาโอกาสอยู่ในแวดวงของผู้ที่ใช้ภาษาถูกต้อง
๓. รู้จักผู้อ่าน เนื่อหาและท่วงทำนองการเขียนมีส่วยอย่างมากในการกำหนดหรือกำจัดกลุ่มผู้อ่าน
๔. เทคนิควิธีการผลิตสิ่งพิมพ์ ควรรู้จักขั้นตอนและวิธีการเบื้องต้นพอที่จะพิจารณาให้ความเห็น
และประสานงานกับผู้พิมพ์ได้
๕. กฎหมายและระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์งานเขียน การแปลหรือดัดัแปลง การ
นำไปเผยแพร่ เรื่องสิทธิ การละเมิดสิทธิการคุ้มครองโดยกฎหมายรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายดังกล่าว
๖. การตลาด บรรณาธิการควรรู้เรื่องแวดวงการตลาดสิ่งพิมพ์อย่างครบวงจร เพราะเกี่ยวข้องกับ
ความอยู่รอดของธุรกิจการบริการ เป็นความรู้ที่จำเป็นสำหรับบรรณาธิการ ทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการ

เด็กกับการอ่าน

"การศึกษาเป็นสิ่งที่จะต้องกระทำกันไปตลอดชีวิต" การอ่านเป็นวิธีศึกษาโดยใช้ความคิดในการรับรู้ความหมายหรือเรื่องราวจากตัวอักษร การอ่านเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกอาชีพ เพราะจะทำให้เป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง นักการศึกษาที่สำคัญของโลก คือ ฟรานซิส เบคอน ได้กล่าวไว้ว่า "การอ่านทำให้คนเป็นคนโดยสมบูรณ์" ในโลกปัจจุบัน วิทยาการต่าง ๆ ได้พัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้จะมีเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยและรวดเร็ว เกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ ดาวเทียมเพื่อการศึกษา ฯลฯ แต่หนังสือก็ยังเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง จะสังเกตได้ว่าชุมชนที่เจริญแล้วสมาชิกในชุมชนส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีการศึกษาคือ อ่านออก-เขียนได้ การอ่านทำให้คนเราฉลาด มีความรู้ เกิดความคิด อันนำไปสู่การดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม ก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีและความเจริญรุ่งเรืองของชุมชน

พับลิชเชอส์วีคลี รายงานผลวิจัยเรื่องการอ่านของเด็กและครอบครัว โดยได้รับความสนับสนุนจากสำนักพิมพ์สกอแลสติค สำรวจการอ่านเพื่อความบันเทิงของเด็กอเมริกันวัย 5-17 ปี พบว่าเด็กร้อยละ 92 สนุกกับการอ่านหนังสือเพื่อความบันเทิง (นั่นคือไม่นับพวกหนังสือเรียน) แต่เด็กจะอ่านน้อยลงมากเมื่ออายุเกิน 8 ปี และยิ่งอายุมากขึ้นสู่วัยรุ่นเท่าใด ก็ยิ่งอ่านน้อยลงเท่านั้น
โดยรวมแล้วเด็กร้อยละ 30 อ่านหนังสือเป็นประจำ เด็กวัย 5-8 ปีร้อยละ 44 อ่านหนังสือเป็นประจำ แต่กลุ่มเยาวชนอายุ 15-17 ปีนั้น มีเพียงร้อยละ 16 ที่อ่านหนังสือเป็นประจำ ส่วนร้อยละ 46 อ่านนานๆ ครั้ง (เป็นประจำคืออ่านทุกวัน นานๆ ครั้งคืออ่านเดือนละไม่เกิน 2-3 ครั้ง)
ผลการศึกษาพบว่าที่อัตราการอ่านลดลงมากเมื่อวัยเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากผู้ปกครองไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดี มีพ่อแม่เพียงร้อยละ 21 เท่านั้นที่อ่านหนังสือเป็นประจำ

ลูกของพ่อแม่ที่อ่านหนังสือเป็นประจำจะชอบอ่านหนังสือเป็นประจำ (คิดเป็นร้อยละ 53) เมื่อเทียบกับลูกของพ่อแม่ที่อ่านนานๆ ครั้ง มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่จะอ่านหนังสือเป็นประจำ
สำนักพิมพ์แนะนำว่าถึงพ่อแม่จะไม่ค่อยอ่านหนังสือ ก็ควรสนับสนุนให้ลูกรักการอ่านโดยอ่านหนังสือให้ลูกฟัง อย่าเพิ่งหยุดอ่านเมื่อลูกอายุแปดปี เมื่อเด็กโตขึ้นและอ่านได้เองเพิ่มขึ้น พ่อแม่ยิ่งต้องช่วยแนะนำหนังสือให้ลูกอ่าน

เด็กที่อ่านหนังสือเป็นประจำบอกว่าพ่อแม่เป็นผู้แนะนำหนังสือให้อ่านมากเป็นอันดับสอง รองจากบรรณารักษ์และห้องสมุดเท่านั้น (ตามมาด้วยเพื่อน ครู และร้านหนังสือ) ในขณะที่เด็กอ่านหนังสือนานๆ ครั้งบอกว่าได้แนวทางการอ่านมาจากครู เพื่อน บรรณารักษ์ ทีวี และพ่อแม่ ตามลำดับ
การแนะนำหนังสือมีความสำคัญยิ่งต่อการอ่าน เหตุผลข้อหลักที่ทำให้เด็กไม่อ่านหนังสืออีกต่อไป เนื่องมาจากเด็กไม่เจอหนังสือที่ตัวเองชอบ บริษัทผู้สำรวจข้อมูลตั้งข้อสังเกตว่า "พ่อแม่อาจนึกไม่ถึงว่าการที่เด็กๆ จะหาหนังสือที่ตัวเองชอบได้นั้น เป็นเรื่องยากแค่ไหน" เหตุผลข้อรองๆ ลงมาที่ทำให้เด็กไม่อ่านหนังสือคือ มีอย่างอื่นที่อยากทำมากกว่า, มีการบ้านเยอะ, ไม่มีเวลาอ่าน, เหนื่อยเกินไปที่จะอ่าน
ส่วนพ่อแม่นั้นมักเข้าใจว่าเหตุผลข้อหลักที่ลูกไม่อ่านหนังสืออ่านเล่นเป็นเพราะมีการบ้านเยอะ

การศึกษานี้ยังพบว่าเด็กร้อยละ 41 ใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีในการอ่าน โดยแบ่งเป็นอ่านจากคอมพิวเตอร์ 23% จากไอพ็อด 5% เครื่องเล่น MP3 อื่นๆ 2% พีดีเอ (เครื่องช่วยงานส่วนบุคคลแบบดิจิทัล) 1% ที่เหลือเป็นอื่นๆ ผลการสำรวจพบว่าเด็กที่อ่านหนังสือโดยใช้เทคโนโลยีมักอยู่ในกลุ่มคนอ่านหนังสือเป็นประจำ (ซึ่งผลสำรวจบอกว่าอาจเป็นเพราะเด็กกลุ่มนี้มีพ่อแม่ที่ผลักดันเรื่องการอ่านมากกว่า)
เร็วๆ นี้ การ์เดียน รายงานผลสำรวจจากสกอแลสติกบุ๊คคลับและบุ๊คแฟร์ ว่าพ่อแม่สมัยนี้เลิกอ่านหนังสือก่อนนอนให้ลูกฟังเร็วขึ้น มีเด็กวัย 12 ปีเพียงร้อยละ 3 ที่บอกว่าพ่อแม่ยังอ่านหนังสือให้ฟังทุกคืนก่อนนอน สำหรับเด็กวัย 7-12 นั้นมีร้อยละ 10 ที่บอกว่าพ่อแม่อ่านหนังสือให้ฟังทุกคืน ครั้นเมื่อไปถามพ่อแม่เด็กวัย 7-12 กลุ่มเดียวกับที่สำรวจ พ่อแม่มากกว่าหนึ่งในสามบอกว่าตัวเองอ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกวัน แสดงว่าพ่อแม่มองโลกแง่ดีกว่าที่เป็นจริง (หรือลูกมองโลกแง่ร้ายเกิน?)

เราเริ่มอ่านหนังสือให้เด็กฟังได้ตั้งแต่เขายังเล็กมากๆ ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการของอเมริกาบอกว่าตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสามปี เด็กสามารถเลียนเสียงที่ได้ยิน เริ่มเชื่อมโยงเสียงคำที่ได้ยินกับความหมายของคำ เด็กจำหนังสือจากหน้าปกได้แล้ว ทำท่าทำทางเหมือนกำลังอ่านหนังสือได้ เข้าใจว่าควรถือหนังสืออย่างไร สามารถระบุสิ่งของในหนังสือได้ พูดชื่อตัวละครในหนังสือได้ ดูรูปในหนังสือแล้วรู้ว่าเป็นภาพแทนของที่มีในโลกจริง เด็กฟังเรื่องราวได้ ขอให้ผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้ฟังได้ เริ่มเขียนเส้นและวาดรูป โลกของเด็กช่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้นพ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังได้ตั้งแต่เด็กยังแบเบาะ ตั้งแต่ก่อนเด็กจะพูดได้ ให้เด็กได้เห็นและจับต้องหนังสือ

เมื่อเด็กโตขึ้นจะมีพัฒนาการมากขึ้นตามวัย เด็กเล็กๆ ชอบให้คนอ่านหนังสือให้ฟัง ไม่เบื่อเรื่องซ้ำ ชอบภาษาที่มีสัมผัส พ่อแม่อาจหาข้อมูลเกี่ยวกับการอ่านหนังสือให้ลูกฟังได้จากอินเทอร์เน็ต เช่นเว็บ Reading is Fundamental

แต่พ่อแม่ที่จะแนะนำหนังสือดีให้ลูกอ่านได้ ก็ต้องเป็นคนรักการอ่านด้วย มิฉะนั้นจำเป็นต้องมีบรรณารักษ์ที่เก่งและที่ดีเป็นผู้แนะนำหนังสือ บรรณารักษ์ไม่กี่คนสามารถกำหนดชะตากรรมนักอ่านเยาวชนได้นับร้อยพัน การเลือกหนังสือของบรรณารักษ์มีค่าและมีความสำคัญยิ่ง

หนังสือเด็กเป็นหนังสือที่แพงที่สุดกว่าหนังสือวัยอื่น เนื่องจากการผลิตจะต้องดีทุกขั้นตอนโดยคำนึงถึงคุณภาพ ผู้ที่เขียนหนังสือให้เด็กอ่านจะต้องเขียนแต่งานที่ดีที่สุดเท่านั้น ใครจะรู้ว่าหนังสือเล่มหนึ่งอาจเป็นเล่มแรกในชีวิตของเด็กสักคนหนึ่งก็ได้ อาจทำให้เด็กคนหนึ่งๆ รักและหลงใหลในการอ่าน อาจทำให้เด็กคนหนึ่งๆ เลิกอ่าน (ดังนั้นจึงไม่มีอะไรเลวไปกว่าการทำหนังสือเด็กชุ่ยๆ อีกแล้ว) รูปเล่มต้องสวยงาม มีสีสัน สภาพแข็งแรง ผลิตโดยใช้วัสดุที่ปลอดภัย เมื่อหนังสือเด็กมีราคาแพง ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีห้องสมุดมากๆ อยู่ทั่วประเทศ ในห้องสมุดเหล่านั้นควรมีหนังสือดีสำหรับเยาวชนมากๆ ให้พ่อแม่ยืมไปอ่านให้ลูกฟังได้เรื่อยๆ บ้านเราพยายามพัฒนายกระดับตัวเองหลายด้านเช่นจัดงานหนังสือ แต่อย่าลืมสนใจผลิตผู้คนรักการอ่านที่จะเป็นคนแนะนำหนังสือดีให้คนอื่นๆ --ให้กับคนรุ่นหลังที่เป็นอนาคตของเรา

บทสัมภาษณ์อาจารย์ ดร. สฎายุ ธีระวณิชตระกูล

บทสัมภาษณ์อาจารย์ ดร. สฎายุ ธีระวณิชตระกูล(อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์)
ฉัตรธิดา: สวัสดีคะ
ดร. สฎายุ: สวัสดีครับ
ฉัตรธิดา: อาจารย์ช่วยเล่าประวัติการทำงานของอาจารย์หน่อยได้ไหมคะ
ดร. สฎายุ: ครับ ผมชื่อ อาจารย์ ดร. สฎายุ ธีระวณิชตระกูลครับ เป็นบุคลากรของคณะศึกษาศาสตร์ ตอนนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหาร รับผิดชอบงานด้านประชาสัมพันธ์และฝ่ายอาคารสถานที่ของคณะศึกษาศาสตร์ครับ ในส่วนของวิชาการ ผมก็สังกัดภาควิชาบริหารการศึกษา ดูแลการสอนในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกครับ
ฉัตรธิดา: อาจารย์คิดว่าการอ่านมีความสำคัญต่อระบบการศึกษาอย่างไรบ้าง
ดร. สฎายุ: การอ่านกับการศึกษาผมคิดว่าแยกจากกันไม่ขาด เพราะว่าหัวใจของคนที่เข้ามาศึกษาก็คือการใฝ่เรียนใฝ่รู้ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เขาเรียกว่า Live Long Education คือ การศึกษาตลอดชีวิต lifelong learning คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต เครื่องมืออย่างหนึ่งที่ทำให้คนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ สิ่งนั้นคือ หนังสือ เพราะว่าอะไรครับ การอ่านหนังสือเนี่ยเป็นการเปิดโลกทัศน์ ไม่มีอะไรแล้วครับที่จะทำให้คนเราได้ learning by doing ลองผิดลองถูกเองทั้งหมด 100% มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก ส่วนหนึ่งก็ต้องเปิดโลกทัศน์ของการอ่านหนังสือ หนังสือแต่ละเล่มมีมุมมองที่แตกต่างกันไป บางเล่มที่เขียนดี มีจิตวิญญาณของผู้เขียนที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสารออกมา ถึงสิ่งที่เขาอยากจะพูดขึ้นมา สมัยก่อนมันอาจจะมีขัดจำกัดเรื่องของ หนังสือเนี่ย เมื่อสมัยโบราณย้อนไปยุคของโสเครติสอยากจะไได้ความรู้ มันไม่มีหนังสืออะไรประเภทนี้ ก็ต้องไปแลกเปลี่ยนความรู้ในที่ต่างๆ เขาเรียกว่าอะไรครับไปสนทนากับผุ้รู้ แต่เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ต้องไปทำอะไรให้มันยากขนาดนั้นแล้ว ในยุคนี้มันก็จะมีหนังสือเยอะแยะเลย หนังสือแต่ละเล่มที่ผลิตออกมานั้น โดยเฉพาะในส่วนของการศึกษาเนี่ย เขาเรียกเหมือนกัน แต่ภาษอังกฤษที่เขาว่าตอนนี้คุณทำอะไรอยู่ เขาไม่บอกนะว่าเขาเป็น student นะ เขาจะบอกว่าเขาเป็น Reader ก็คือคนอ่าน เป็นคนอ่าหนังสือนะครับ นี่ๆ คือภาพหนึ่งที่สะท้อนให้ เห็นว่ามันแยกกันไม่ออก แยกกันไม่ขาดนะ ระหว่างเรื่องของหนังสือและเรื่องของการศึกษานะครับ
ฉัตรธิดา: ในเมื่ออาจารย์บอกว่าหนังสือมีความสำคัญ แต่ตอนนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่มันเข้ามา อาจารย์คิดว่าหนังสือยังคงมีความสำคัญอยู่ไหมคะ
ดร. สฎายุ: สำคัญครับ มันแปลงสภาพจากที่เป็น Hard Copy ที่เรียกว่าหนังสือเล่มมาเป็น E-library ที่จะมี E-book อะไรต่างๆ แต่ความเป็นหนังสือเนี่ย ผมไม่แน่ใจนะว่าความเป็น different ion ของหนังสือทางนิเทศเขาจะบอกว่าหนังสือนั้นจะออกมาเป็น public ที่ตีพิมพ์อะไรเป็นรูปเล่มออกมาอะไรพวกนี้ หรือเปล่า แต่ผมเน้นในตัวของ content นะครับ ตัวเนื้อหาของการเป็นหนังสือมันจะออกมาเป็นในรูปแบบใด มันจะออกมาเป็น Hard Copy มันจะออกมาในรูปของ Electronic อะไรต่างๆ ผมก็เรียกว่ามัน ก็คือหนังสือเหมือนกันนะครับ ในยุคปัจจุบันถามว่า หนังสือมีบทบาทลดลงไหม ผมว่ามันไม่ได้มีบทบาทลดลง แต่คนทำหนังสือ อาจจะเหมือนกับมี Market share มากขึ้น แทนที่ว่าเขาจะไปตามชั้นหนังสือ ตามห้องสมุด เดี๋ยวนี้เขาก็อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และเขาอ่านจาก E-book อะไรต่างๆ แต่ ณ วันนี้ E-book ของเราเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ก็ยังค่อนข้างจะน้อยอยู่นะ ประเด็นที่หนึ่ง
ประเด็นที่สอง Supply มีน้อยนะ Demand คนอ่าน E-book คนที่ใช้เป็นก็มีน้อยอยู่ แต่บางคนเขาชอบอ่านที่มันเป็นแบบ Hard Copyนะ อย่างน้อยเขารู้สึกว่ามันได้เปิด แคร๊ก แคร๊ก เวลามีเสียง มันรู้สึกว่า นะ อะไรแบบนี้ ก่อนนอนก็เอามาอ่าน สามารถหนุนอะไรแบบนี้นะ มันได้ feeling ก็หลากหลายรูปแบบเพราะว่าอะไรครับ เพราะว่าเขา Design มาให้สอดคล้องกับลักษณะของการใช้งานเป็นดีที่สุด ทำยังไงให้เราออกแบบหนังสือ หรือ ออกแบบในการให้การอ่านหนังสือเนี่ยมันออกแบบแล้วเหมาะสมกับลักษณะของการใช้งานของแต่ละบุคคล นี่นอกจากตัว Content ที่เขาจะเลือก ผมยังหมายถึงตัวของ User
ตัวของพฤติกรรมผู้บริโภคตรงนี้ ต้องมองในมุมมองนั้นด้วย ถ้าทำได้นะก็จะรับการใช้บริการมากขึ้น
อนุรักษ์: อย่างนั้นอาจารย์คิดว่าหนังสือ บางคนก็ชอบที่เป็นรูปเล่ม บางคนก็ชอบแบบเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ใช่ไหมครับ
ดร. สฎายุ: ครับ ถ้าคุณสะดวกที่จะใช้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ หรือสะดวกที่จะใช้เป็นรูปเล่มอย่างนี้ ก็แล้วแต่กรณี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย
ฉัตรธิดา: ไม่ว่าเนื้อหาจะเป็นในรูปแบบไหน แน่นอนจะต้องมีผู้ตรวจความถูกต้องของเนื้อหาก่อนที่จะออกมาเผยแพร่ นั่นก็คือบรรณาธิการ ใช่ไหมคะ แล้วอาจารย์คิดว่าจำเป็นไหมที่จะต้องมีบรรณาธิการ
ดร. สฎายุ: บรรณาธิการเนี่ย ถ้าว่าไปแล้วก็คือผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องของเนื้อหาสาระต่างๆ ของหนังสือหรือการนำเสนอ Information นั้นๆ ซึ่งบรรณาธิการไม่ได้แปลว่าคนเขียน แต่เป็นคนรับผิดชอบ อาจจะไม่ใช่แค่ตรวจทาน หรือพิสูจน์อักษร แต่บรรณาธิการเป็นเหมือนผู้กำกับนะ เอ๊ะ สาระอะไรที่จะเหมาะสม กับtheme ของหนังสือเล่มนี้ ควรจะมีอะไรบ้าง อันที่เขาเสนอมามันมีความเชื่อถือถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นหนังสือวิชาการ บรรณาธิการนี่เขาไม่ใช่ผู้รู้ไปทุกเรื่อง มันเป็นไปไม่ได้ เขาจะส่งไปให้ pre-review expert ทางด้านนั้นๆ ดูก่อน แล้วเขาจะตอบกลับมา บรรณาธิการก็จะต้องศึกษาเพื่อเพิ่มความมั่นใจ อาจจะให้ไปปรับแก้เล็กน้อยก่อนลง แต่ถ้าเป็นสาระทั่วไปที่ไม่ใช่วิชาการ บรรณาธิการก็จะรับมาแล้วก็ดูตรวจสอบความเหมาะสม ทั้งความถูกต้องของเนื้อหา แล้วความเหมาะสมที่จะสื่อสารออกมา เหมือนเป็นตัวแทนของตัว censor เป็นตัวกรอง ไปในตัวเพราะว่าอะไรครับ สิ่งใดที่เกิดขึ้นเขาฟ้องบรรณาธิการร่วมด้วย อาจจะเป็นผู้เขียนแต่แน่นอนบรรณาธิการ คุณจะต้องไปมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบนี้แน่นอน เพราะว่าบรรณาธิการก็คือ คนที่รับผิดชอบ เป็นปราการด่านสุดท้าย ก่อนที่หนังสือจะลงตีพิมพ์ออกมา อันนี้ผมหมายถึงหนังสือทั่วๆ ไป

อนุรักษ์: แล้วในคณะศึกษานี้ หรือมหาวิทยาลัยมีการทำวารสารและหนังสือ บรรณาธิการที่นี่ ทำอะไรบ้างครับ
ดร. สฎายุ: คือ คณะเรานี้บรรณาธิการก็คือ ผู้รับผิดชอบมีหลายคน อย่างวารสารของคณะศึกษาศาสตร์ ก็คือ คณบดีเป็นผู้บรรณาธิการเอง อย่างของเรามีจดหมายเหตุ จดหมายข่าวทางด้านศึกษาศาสตร์ แม้ว่ามันจะเป็นแค่จดหมายข่าว แต่เราก็มีบรรณาธิการนะ ว่าเนื้อหาสาระที่เราสื่อสารไปยังสาธารณะชนให้รับทราบ ไม่ใช่ว่าจะไปเอาสิ่งอะไรมา เราต้องมองตรงนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะภาพของสถาบันในส่วนที่รับผิดชอบหนังสือนั้นๆ บรรณาธิการก็ทำหน้าที่เป็นผู้เสมือนหนึ่งเป็นผู้แทนของสถาบันนั้นๆ ถ้าผมเป็นบรรณาธิการ อย่างตอนนี้ ผมรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการจดหมายข่าวอยู่ ผมไปเอาเรื่องอะไรที่มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ คลิปตรงนั้นคลิปตรงนี้เอามาลงสนุกสนาน มันไม่ตรงกับเรื่องแล้วบางทีมันก็กลายเป็นเราไม่ได้เสียคนเดียวนะ สถาบันมันเสียไปด้วยนะครับ ดังนั้นบรรณาธิการนี้มีความสำคัญครับ ตราบใดที่ว่าผู้บริโภคของเรานี้มี assumption ว่าเป็นผู้ชาญฉลาดนะ เขามีการเลือกนะ และยุคปัจจุบันนี้คนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ถ้าไปกระทบสิทธิ์ใคร ในรูปสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ นั้น มันต้องมีการพิจารณาตรงนี้เหมือนกัน บรรณาธิการนี่แหละ คือ คนที่จะรับผิดชอบ จะต้องคิดอย่างพิถีพิถันจริงๆ นะ บรรณาธิการนี้ผมว่าเป็นอะไรที่ไม่ง่ายนะครับ แต่ส่วนตัวผมเองไม่ได้มาทางนิเทศก็อาจจะไม่รู้ Definition หรือบทบาทที่ชัดเจนของบรรณาธิการ แต่วันหนึ่งจับพลัดจับผลู ต้องมาทำหน้าที่นี้ก็อาศัยในส่วนที่ว่าประสบการณ์ การสอบถาม และก็ทำงานจากผู้อื่นว่าจะทำอย่างไร แล้วลักษณะงานก็ให้แบ่งความรับผิดชอบกัน คนละคอลัมน์ๆ ไป แล้วจับมาใส่ เรามีการนัดประชุมก่อน ว่าตรงนี้จะลงเรื่องอะไร นี่ลงเรื่องอะไร ต้องวิเคราะห์อย่าง prudently แล้วว่าอะไรควรลง อะไรไม่ควรลง หรือถ้าควรลงหมดเลยอะไรควรมาก่อน อะไรควรมาหลัง ภาพจะเป็นอย่างไร ภาพนี้เหมาะไหม ตัวนี้ตัวอักษรลักษณะอย่างนี้ สาระนี้น่าจะครบถ้วนไหม อย่างที่ผ่านมานี้จดหมายข่าวคณะเราจะเป็นแบบ Past tense ค่อนข้างเยอะ คือเหตุการณ์อะไรในอดีตก็จะมาพูดให้ฟัง ที่นี้ผมมองปุ๊บ ผมคิดว่าเราน่าจะเปลี่ยนแปลงบ้าง เราทำไมไม่ลองเสนอเป็นแบบ future tense บ้างล่ะ ในภาพอนาคตว่าเราต้องการทำอะไร แล้วเสนอในความที่เป็นที่โดดเด่น ไม่ใช่ว่าอย่างนี้ก็จะเป็นแบบนี้ บางทีจดหมายข่าวนี้เดือนออกสองฉบับ สองเดือนออกหนึ่งฉบับ ผมคิดว่ามันจะต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เราใช้กระดาษไปอย่างไร้ค่าเปลืองทรัพยากรของประเทศ ไม่ได้อะไรขึ้นมา ถ้ามันเป็นสิ่งที่ผมมองว่าไม่น่าสนใจหรือดูแล้วมันไม่เป็นที่ตอบรับ การขับเคลื่อนนโยบายเท่าไหร่ ก็จะเลือกประชาสัมพันธ์วิธีอื่น ที่สำคัญมากกว่าเป็น future tense เป็นตัวสะท้อนกลับมาเรื่องนโยบายเรื่องวิสัยทัศน์อะไรนี่ ซึ่งหน้าที่นี้เป็นของบรรณาธิการ
อนุรักษ์: อาจารย์คิดว่าคุณสมบัติอย่างไรจึงจะได้เป็นบรรณาธิการ หรือว่าใครอยากทำในส่วนนี้ก็มาทำ หรือว่ามีการคัดเลือกมา
ดร. สฎายุ: คือจริงๆ แล้วคนที่จะเป็นบรรณาธิการ คือคนที่ได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่นี้ คนที่มีอำนาจในการมอบหมายให้มาทำตรงจุดนี้ ส่วนใหญ่แล้วคนที่มีอำนาจในการมอบหมายเขาจะมาเป็นบรรณาธิการเสียเอง แต่ถ้าเป็นหนังสือที่เอาแบบจริงๆจังๆเลย ที่แบบทำขายอะไรอย่างนั้น ที่ไม่ใช่หน่วยราชการ ผมว่ามีรายละเอียดเยอะมาก อย่างน้อยบรรณาธิการอาจจะมาจากคอลัมน์นิสต์ ที่เอามาลง ทำมานานและต่อเนื่อง จนมีประสบการณ์ และเป็นผู้รอบรู้เป็นผู้ที่มี connection นะครับ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร จนเขาเรียกว่าแก่กล้าพอสมควร แล้วค่อยขยับขึ้นมาเป็นบรรณาธิการ มันจะแตกต่างกัน แต่ในส่วนของผมจะเป็นเรื่องบรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมากกว่า แต่อย่างน้อยคนที่จะเป็นบรรณาธิการจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ รู้มาก เป็นคนรอบรู้ เอาง่ายๆ ถ้าไม่มีความรู้มันก็จะทำให้สาระไม่น่าเชื่อถือด้วย

ฉัตรธิดา: พูดมาขนาดนี้แน่นอนว่า อาจารย์ต้องเป็นนักอ่านด้วยใช่ไหมคะ อาจารย์ชอบอ่านหนังสือประเภทไหนบ้างค่ะ
ดร. สฎายุ: คือ ผมชอบอ่านหนังสือประเภทเรื่องสั้นที่เป็นประสบการณ์ หนังสือแปล อย่างเช่น Thing big future catches you เรื่องต่างๆ ที่เขาแปลมา หรือว่าหลักการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ ที่เขาบอกเล่าคือ ผมเชื่อว่าบางที ตอนเราเรียนเราก็อ่านพวกทฤษฎีมาเยอะ เรียนมันก็ถูกบังคับ เพราะต้องอ่าน คุณต้องสอบ ก็อาจจะมีความเครียดนิดหน่อย เวลาอ่านหนังสือพวกหนักๆ อย่างนั้น แต่ถ้าเราอ่านแบบเหมือนมีคนมาเล่าให้ฟัง บอกเล่าว่าอย่างนั้นนะ อย่างนี้นะ เขาผ่านอะไรมาบ้าง เขาเล่าในสิ่งที่เป็น Transit Knowledge ความรู้มันก็มีหลายแบบนะ ตัวความรู้อย่างหนึ่งที่เรียกว่าความรู้ซ่อนเร้น คือความรู้ที่ต้องถ่ายทอด ต้องsent story เล่าจากประสบการณ์ หนังสือแบบหนึ่งที่เรียกว่า pocketbook อะไรอย่างนั้น ที่เขานิยมทำต่างๆ แต่เราก็ต้องดูด้วยว่า pocketbook เป็นแบบไหน ถ้าพวกที่เล่าเรื่องต่างๆ มันก็อ่านแบบขำๆ คลายเครียดไป แต่ถ้าจะอ่านแบบเอาเป็นจริงเป็นจัง เอาเป็นการใช้ประโยชน์ให้เกิดผลงอกเงยทางปัญญาอะไรอย่างนั้น ต้องคิดนะ เพราะว่ามนุษย์นี่มันก็ต้องเลือกสรรในสิ่งที่จะรับเข้ามานะครับ การอ่านหนังสือก็เป็นการบริโภคอย่างหนึ่ง การบริโภคไม่ใช่แค่การกินอย่างเดียว การอ่านหนังสือก็เป็นการบริโภคอย่างหนึ่งนะครับ ถ้าเราไม่มีการเลือกไม่มีตัวกรองไปอ่านแต่สิ่งที่มันไม่ประเทืองปัญญา อ่านหนังสือโป้บ้าง ตีหัวหมา ด่าแม่แช่งกันไปเรื่อย หนังสืออะไรทำนองนั้นนะครับ ซึ่งลักษณะนั้นอ่านมันไม่ประเทืองปัญญา แล้วคนที่มีวุฒิภาวะยังไม่มาก ถ้าอ่านไปก็จะซึมซับในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมว่ามันก็น่ากลัวเหมือนกัน ดังนั้นเดี๋ยวนี้เราจะเห็นว่ามันก็ต้องมีการขออนุญาตนะครับ แต่ในขั้นตอน แต่ก่อนเขาว่ามีสันติบาลอะไรอย่างเนี่ย แต่ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากเหมือนกัน แต่มันคงมีขั้นตอนว่าหนังสือจะวางแผงอะไรออกมาได้

ฉัตรธิดา: อัตราการซื้อหนังสือของอาจารย์บ่อยไหมคะ
ดร.สฎายุ: ประมาณนะ บอกตรงๆ ว่าชอบหนังสือลดราคา เพราะว่าไม่รู้นะด้วยความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์ ไปด้วย หนังสือใหม่ๆ เนี่ยไม่ซื้อไปอ่านที่ห้องสมุด เพราะว่ามันแพงนะครับ แต่ถ้าหนังสือที่อยากได้สุดๆ ก็รอซื้อตอนช่วงลดราคาเพราะแป๊บนึ่งมันก็ลดราคาแล้ว โชคดี เมืองไทยหนังสือราคาถูก ถ้าเป็นเมืองนอกหนังสือแพง เพราะว่าเขาให้value กับคนที่คิดอะไรขึ้นมาสักอย่างพอขายได้ และขายดีมันก็เป็นแรงจูงใจที่อยากจะเขียนหนังสือดีๆขึ้นมา เพราะว่ามันได้สตางค์อยู่นี่ แต่ถ้าเมืองไทยเขียน ส่วนใหญ่ก็ไม่ ถ้าเป็นแบบมีสาระอะไรอย่างนี้ที่นี่นะ มันจะเป็นวิทยาทานมากกว่า แต่อันที่ขายดีนะครับจะเป็นสาระอย่างที่ผมบอกขำๆ ปาปารัสซี่ หนังสือแนวอะไรขายดี คุณไปดูสิ มีแต่เรื่องเกี่ยวกับชาวบ้าน สอดรู้สอดเห็น อะไรพวกนี้ไปเรื่อยเลย ทำไมหนังสือพวกนี้ขายดี เพราะว่านิสัยของคน พื้นฐานอาจจะอยากรู้อยากเห็นอะไรไป ถ้าใครมาทำตรงนี้ก็จะขายได้ดี แต่ถ้าเป็นหนังสือพวกการบอกเล่าว่าอย่างนี้ หนังสือ Geographic หนังสือของTIME หนังสือในเรื่องของการวิเคราะห์ หนังสือเรื่องการศึกษา ถ้าไม่มีหน่วยงานของรัฐหรือมูลนิที่มาสนับสนุน ผมว่าแรงจูงใจในทางเศรษฐกิจต่ำมาก เราจะอ่านสาระเนื้อหาอะไรพวกนี้ค่อนข้างน้อยเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นร้านหนังสือของมหาวิทยาลัยมันก็พอได้ แต่ถ้าเป็นร้านหนังสือทั่วๆ ไปคุณผ่านไปตลาดหนองมนคุณดูสิ มีลักษณะเป็นแบบไหน ถ้าไม่ใช่นายอินทร์หรือซีเอ็ดอะไรแบบนี้นะ คุณก็จะเห็นแผงหนังสือซะมากกว่าเป็นแบบหนังสืออ่านเพลินๆ บางทีมันไม่เหมือนของญี่ปุ่นนี้นะ ที่เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มเล็กๆ ระหว่างรอขึ้นรถ ใช้เวลาว่างอ่านไปเรื่อยๆ หนังสือที่เขาอ่านก็จะเป็นแบบที่ผมพูดคือส่วนใหญ่เป็นประสบการณ์ เพราะว่าชีวิตของเขาอาจจะไม่ค่อยได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับใคร เขาก็อาศัยการอ่านนี้แหละ แล้วก็ศึกษา อ่านเสร็จแล้วอาจจะมี การแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้างอะไรอย่างนี้นะครับ สมัยก่อนรุ่นคุณทันเปล่าสมัยผมจะให้อ่าน outside reading คือหนังสืออ่านนอกเวลา เช่น เรื่องเจ้ามอม เรื่องนู้นบางเรื่องนี้บ้าง เขาฝึกให้เรามีนิสัยรักการอ่าน และอีกส่วนหนึ่งผมขอฝากไว้ว่าไม่ใช่เฉพาะนิสัยรักการอ่านเพียงอย่างเดียว แต่ต้องฝึกให้มีวิจารณญาณในการอ่านเรื่อง สื่อที่บริโภค โดยเฉพาะตอนนี้อ่านหนังสือในอินเตอร์ก็ได้แล้ว แต่จะมีเด็กสักกี่คนที่จะอ่านจริงๆ เด็กสิบคนเข้าอินเตอร์เน็ตแล้วจะดูหนังสือกี่คน คำตอบมีอยู่ในใจแล้ว ต้องยอมรับว่าไม่มาก แล้วเด็กจะดูอะไรร้อยแปดพันเก้า เกมออนไลน์อีกล่ะ นั่นแหละคือ สิ่งที่เราน่าจะคิดว่าควรจะทำอย่างไร เราจะสร้างภูมิคุ้มกันให้คนเรามีวิจารณญาณ ในการที่จะเลือกบริโภคหนังสือ หรือสิ่งต่างๆ รักการอ่านเป็นสิ่งดี แต่ต้องสร้างวิจารณญาณเป็นภูมิคุ้มกันด้วยจะได้ดียิ่งขึ้น

ฉัตรธิดา: อาจารย์คิดว่าในบางแสนมีร้านหนังสือเพียงพอต่อความต้องการหรือเปล่า ควรจะมีร้านหนังสือเพิ่มขึ้นอีกไหม
ดร.สฎายุ: ถ้าต้องเปิดขึ้น จะต้องมีแหล่งสนับสนุน แต่สำหรับผมนะ ถ้าผมมีเงินสี่ห้าแสนนะครับ ไปกู้แบงค์หรือSME จะลงทุนอะไร ลงทุนทำหนังสือ เขาก็คงไม่ปล่อยให้ผมกู้หรอกเชื่อไหม

ฉัตรธิดา: ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ
ดร.สฎายุ: กลัวเจ๊งครับ แบงค์เขาปล่อยกู้เขาก็ต้องมองแล้วว่าจะไปได้หรือเปล่า จะเจ๊งไหม ผมหมายถึงขายหนังสืออย่างที่ว่านี่นะครับ แต่อย่างศูนย์หนังสือจุฬาฯนี่นะ เขาใหญ่พอที่จะเอาหนังสือมาวางโดยไม่จ่ายเงิน นึกออกไหมครับ อย่างผมเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเอาไปวางศูนย์หนังสือ ผมไปวางบิลไว้ ถ้าขายได้ผมก็มาเก็บเงิน ขายไม่ได้ผมก็เอาหนังสือกลับ แล้วผมก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ให้เขา 5% 10% อะไรก็แล้วแต่ เขาแค่ให้ชั้นวางหนังสือผมวางแค่นั้น อย่างนี้มีการลงทุนไหม ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ร้านหนังสือถ้าเปิดมาปุ๊บ เราไม่มีชื่อก็คงไม่ได้หรอก ในมอบูมีศูนย์หนังสือจุฬาฯ ข้างนอกมีซีเอ็ด ตามห้างใหญ่ๆ ก็มีร้านหนังสือเยอะแยะ แต่ถ้าถามว่ามีคนเข้ามากไหม เข้ามาอ่านเพื่อฆ่าเวลาก็มี แต่ที่ซื้อออกมาผมว่าไม่ค่อยมาก เท่าไหร่

อนุรักษ์: อาจารย์มีนักเขียนในดวงใจไหม หรือชอบหนังสืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ
ดร.สฎายุ: นักเขียนในดวงใจหรอ คือส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยยึดติดกับคนนะ ผมจะดูที่เนื้อหาสาระมากกว่า อย่างแรกที่คุณจะซื้อคุณดูอะไรก่อน
ฉัตรธิดา: หน้าปกคะ และก็สารบัญ
ดร.สฎายุ: ผมจะอ่านคำนำกับแรงบันดาลใจในการเขียน อยากจะสอดรับว่าเขาต้องการจะถ่ายทอดจิตวิญญาณที่เขาเรียงร้อยมาเป็นตัวหนังสือ ผมไม่ได้มีโอกาสไปคุยกับเขา อ่านตรงนั้น แล้วก็ไปอ่านสารบัญแล้วก็ดูว่ามันตีพิมพ์เมื่อไหร่ ซื้อทั้งทีก็อยากได้ของใหม่ๆนะครับ องค์ความรู้มันพัฒนาไปเรื่อยๆ ครับ
อนุรักษ์: อาจารย์อยากจะบอกหรืออยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับการทำหนังสือเพิ่มเติมอีกไหมครับ
ดร.สฎายุ: ก็อย่างที่พูดไปนั่นแหละครับว่านอกจากจะส่งเสริมเรื่องรักการอ่านแล้ว ก็ให้ดูเรื่องจะทำอย่างไรให้คนเขามีภูมิคุ้มกันมีวิจารณญาณในการอ่านด้วย รู้และเลือกที่จะบริโภคหนังสือที่มีสาระ อย่างของรัฐบาลผมว่าอยากให้ส่งเสริมในเรื่องสิทธิบัตรทางปัญญานะครับ บางทีภาคการศึกษาเองเนี่ย ผมของถามหน่อยว่า คนเขียนได้หรือร้านถ่ายเอกสารรวย คำตอบทุกคนรู้อยู่แล้ว มันไม่มีแรงจูงใจที่อยากจะเขียนตรงนี้ ผมไปเปิดร้านถ่ายเอกสารไม่ดีกว่าหรอ จริงไหม เมืองนอกไม่ได้นะครับ คุณไปถ่ายเอกสารเขาฟ้องตายเลยนะ คุณต้องซื้อเท่านั้น ที่เขาถ่ายเอกสาร เขาหมายถึง เพียงนิดๆหน่อยๆ ของเรานี่ถ่ายเอกสารกันทั้งเล่มหน้าปกเหมือนเป๊ะ ใช้กระดาษดีกว่าของเขาด้วย เผลอๆราคาถูกกว่านะ ไม่ต้องคิดแล้วจริงไหม นักศึกษาก็ซื้อกันไปหมด คนเขียนก็เป็นวิทยาทานให้นอกจากในกลุ่มผู้อ่านแล้วยังเป็นการทำทานกลุ่มร้านถ่ายเอกสารด้วย นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากจะสื่ออะไรบางอย่าง
ฉัตรธิดา: อาจารย์ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ไหมคะ
ดร.สฎายุ: อ่านตลอดครับอ่านทุกวันเลย การอ่านหนังสือพิมพ์นี่นะ ลองไปศึกษาดูให้ดีมันมีทั้งด้านบวกและด้านลบ อย่างที่ผมกล่าวมาแล้วนั้นแหละว่ามันมีทั้งสาระและไม่มีสาระ หนังสือพิมพ์ที่ขายดีลองไปดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะประเทืองปัญญาเท่าไหร่ อาจจะบอกได้อีกมุมหนึ่งว่ามันเป็นอุทาหรณ์แก่สังคม มันเกิดการเลียนแบบ อย่างการข่มขืน เขาเขียนมาบรรยายเสร็จเลยว่าเริ่มแรกทำอย่างไรบ้าง อย่างที่เห็นๆ อยู่ ผมชอบอ่านหนังสือพิมพ์มติชน เพราะจะมีคอลัมน์วิเคราะห์วิจารณ์เยอะนะครับ และก็เปิดกว้างทางความคิดนะ เราอยากจะเขียนอะไรก็ส่งไป เขาจะมีบรรณาธการดูว่าบทความที่ส่งไปดีไหม ถ้าดีเขาก็จะลงไปสตางค์ตรงนั้นก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นวิทยาทานจริงๆ เดี๋ยวนี้เขาไม่ชอบอ่านข่าวเฉยๆชอบให้คนมาวิเคราะห์ให้อีกทีนึง เมื่อก่อนจะอ่านข่าวฉบับไหนก็เหมือนๆ กัน แต่เดี๋ยวนี้มีคนมาวิเคราะห์ให้อ่านเป็นการแสดงความคิดเห็นลงไปด้วย
ฉัตรธิดา: อาจารย์อยากจะพูดอะไรหรืออยากจะฝากข้อคิดอะไรไหมคะ
ดร.สฎายุ: ผมประทับใจภาพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในห้องสมุด ที่ท่านแสดงให้เห็นถึงการอ่าน อยากให้เราช่วยเผยแพร่สิ่งนี้นะครับ แล้วการอ่านเป็นการฝึกสมาธิด้วยนะครับ เพราะคุณต้องมีสมาธิเวลาอ่านหนังสือ อย่างที่เขาบอกว่าเด็กสมาธิสั้น ก็มักไม่ได้รับการฝึกใช้สมาธิสักเท่าไหร่ แต่การอ่านหนังสือนะครับ เขามีการวิจัยว่าปีหนึ่งอ่านกันกี่นาที แล้วส่วนใหญ่อ่านเรื่องอะไร อย่างที่เห็นเราจะสอบเฉพาะสอบ ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีการสอบ จะมีคนไทยสักกี่คนที่อ่านหนังสือแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องสอบ หรือเพราะลักษณะงานที่เขาต้องทำ อ่านเพื่อที่จะเรียนรู้ และพัฒนาการมีน้อย ส่วนใหญ่จะอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน ดังนั้นผมของฝากในมุมมองของผมที่อยู่ในด้านการบริหารการศึกษา ผมจะขอฝากตั้งแต่ผู้บริหารการศึกษาเพราะว่าดูแลเด็ก ผมเชื่อว่าการปลูกฝังจะช่วยได้เยอะ ทำห้องสมุดมีชีวิต ทำโครงการของกระทรวงส่งเสริมเยอะแยะเลย ดูแล้วน่าสนใจ เป็นแหล่งที่ให้บริการ หนังสือดีมีคุณค่า แต่ถ้าคนไม่อ่านก็จะเสมือนกับไก่ได้พลอย ที่ไม่รู้ถึงคุณค่าของมันต้องฝากถึงนักเขียนด้วยที่ว่าจะเขียนอย่างไรให้คนอ่านวางไม่ลง จะใช้การนำเสนอแบบไหน ขนาดเท่าไหร่ ตัวอักษรอะไร กระดาษเป็นอย่างไร จุดพักสายตาควรมีหรือเปล่าถ้ถามีจะอยู่ตรงไหน อะไรอย่างนี้ ถ้าทุกคนใส่ใจในทุกรายละเอียด พิถีพิถันได้ขนาดนี้ผมว่ามันโอเคแล้วนะ




วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

บทสัมภาษณ์ลุงขนบ อังคะนาวิน

บทสัมภาษณ์ลุงขนบ อังคะนาวิน (ชาวบ้าน)
ฉัตรธิดา: สวัสดีคะ หนูชื่อฉัตรธิดา นามวงศ์ และก็นี่เพื่อนหนู ชื่ออนุรักษ์ กอเซ็ม เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาคะ
อนุรักษ์: สวัสดีครับ
ฉัตรธิดา: วันนี้เราสองคนจะขอสัมภาษณ์คุณลุงนะคะ คุณลุงชื่ออะไรคะ ช่วยเล่าประวัติของลุงหน่อยได้ไหมคะ
ลุงขนบ: ครับ ชื่อขนบ อังคะนาวิน
ฉัตรธิดา: แล้วคุณลุงประกอบอาชีพอะไรคะ ช่วยเล่าประวัติการทำงานหน่อยได้ไหมคะ
ลุงขนบ: เคยรับราชการเป็นครูนะ ครูส.ป.ช เก่า
อนุรักษ์: ตอนนี้ล่ะครับ
ลุงขนบ: อยู่แต่บ่าน อยู่กับหลาน ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรแล้ว ปลดเกษียณตั้งแต่สิบสี่ปีแล้ว
ฉัตรธิดา: พื้นเพเดิมอยู่ที่นี่เลยหรือเปล่าคะ
ลุงขนบ: ไม่ใช่ครับ เป็นคนฉะเชิงเทรา คนเมืองฉะ แต่เป็นฉะเชิงเทรานะ
ฉัตรธิดา: คิดว่าความรู้มีความจำเป็นและสำคัญต่อการประกอบอาชีพมากมั๊ยคะ
ลุงขนบ: อ่ะ ความรู้ต้องสำคัญครับ ไม่ว่าอะไรถ้าไม่มีความรู้ก็เสร็จหมด ต้องมีความรู้ไม่ว่าใครก็ตาม ความรู้นี่ มันติดตัวไปจนตายน่ะ ถ้าไม่มีความรู้เดี๋ยวก็แย่ ไม่ทันเหตุการณ์ ตอนสมัยโบราณไม่เหมือนสมัยนี้แล้ว ทันสมัยหมดสู้เด็กๆ ไม่ได้แล้ว
ฉัตรธิดา: ลุงมีวิธีการหาความรู้เพิ่มเติมอย่างไรบ้าง
ลุงขนบ: ปลดเกษียณแล้วไม่ได้หา แต่ตอนรับราชการต้องหาความรู้อยู่เรื่อยๆ ตอนนี้ปลดแล้วก็เลยวาง
อนุรักษ์: ลุงอ่านหนังสือพิมพ์บ้างหรือเปล่าครับ
ลุงขนบ: อ่านครับ แต่อ่านไม่หมด อ่านตัวใหญ่ๆ เล็กๆ มองไม่ค่อยเห็น
อนุรักษ์: หนังสือประเภทอื่นได้อ่านหรือเปล่าครับ
ลุงขนบ: ไม่ค่อยได้อ่าน อ่านแต่ไทยรัฐนะ ส่วนใหญ่
อนุรักษ์: ส่วนมากจะเป็นหนังสือพิมพ์หรือครับ
ลุงขนบ: หนังสือพิมพ์และก็หนังสือพระเครื่อง
ฉัตรธิดา: คิดว่าการอ่านหนังสือพระเครื่อง มีประโยชน์อย่างไรบ้าง
ลุงขนบ: มีเหมือนกันนะ ทำให้จิตใจเราแบบผ่องใสครับ มีความสุขอะไรอย่างเนี่ยนะ เพลิดเพลินด้วย
ฉัตรธิดา: ลุงจะแนะนำให้คนอื่นนั้นมาอ่านหนังสือพระได้มั๊ยคะ
ลุงขนบ: โอย ไม่ต้องบอกหรอกครับ เพราะหนังสือมันมีโฆษณาอยู่แล้ว ใครสนใจก็อันนี้เขาไม่ได้บังคับนี่ แล้วแต่ใครสนใจก็เอา จะธรรมะธรรมโมก็แล้วแต่
ฉัตรธิดา: คิดว่าจากที่เป็นคุณครูสอน สอนวิชาอะไรนะคะ
ลุงขนบ: ครั้งแรกเป็นครูน้อย แล้วก็มาเป็นผู้บริหาร
ฉัตรธิดา: คิดว่าการศึกษาที่เห็นในสมัยก่อนกับตอนสมัยนี้มีการพัฒนามากไหม
ลุงขนบ: โอ้ย แน่นอนเดี๋ยวนี้เขาพัฒนาไปไกลแล้ว ก้าวหน้าไปเยอะ สมัยก่อนมันยังไม่มีอะไรหลายอย่าง แต่ตอนนี้มีคงมีคอม งงไปหมด สมัยก่อนไม่มี
อนุรักษ์: คิดว่าหนังสือกับคอมพิวเตอร์ บทบาทอะไรสำคัญกว่ากันครับ
ลุงขนบ: ผมคิดว่าคอมพิวเตอร์น่าจะดีกว่า
ฉัตรธิดา: ทำไมคิดอย่างนั้นคะ
ลุงขนบ: ก็มันทันสมัย ทันเหตุการณ์ ก้าวทันโลกนะ
ฉัตรธิดา: แล้วถ้าเกิดไฟดับล่ะคะ
ลุงขนบ: ไฟดับก็จุดเทียนสิ ไฟดับมันก็ต้องหาเทียนมาจุด
ฉัตรธิดา: จุดเทียนใช้คอมไม่ได้นะคะ
ลุงขนบ: ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็ยังดีเดี๋ยวมันก็ต้องติดแล้ว ตอบแบบชาวบ้านนะ
ฉัตรธิดา: ลุงบอกว่าคอมดี แล้วลุงได้ใช้คอมหรือเปล่าคะ
ลุงขนบ: โอ้ยผมปลดฯก่อนนะ เริ่มจะได้ใช้พอดีผมเกษียณ ปลดมาสิบสี่ปีแล้ว
ฉัตรธิดา: งั้นจะขอถามอายุจะได้ไหมคะ
ลุงขนบ: อ๋อ เจ็ดสิบสี่แล้ว ยังไม่เกิดกันเลยมั้งเนี่ย สมัยนี้มันเกร่อแล้ว สมัยก่อนมันไม่ค่อยมี สมัยก่อนตอนผมเด็กๆ หลอดไฟยังไม่มีเลย ใช้แบบจุดตะเกียง
ฉัตรธิดา: คุณลุงคิดว่าคอมพิวเตอร์ให้ความรู้
ลุงขนบ: ให้ครับ ให้กว้างขวาง แต่ต้องรู้จักใช้นะ ไม่รู้จักใช้มันก็ไม่ดี ผมมันไม่ก้าวหน้า สมัยนี้ผมไม่ทันเด็กหรอก สมัยก่อนไอ้มือถงมือถือไม่มีทั้งนั้น โบราณนะกว่าจะได้ใช้ที โทรศัพท์ก็แทบยกมาเป็นอะไร คล้ายๆ ว่าเป็นหีบ โทรศัพท์มาทีก็วิทยุมากันทั้งหมู่บ้าน มีที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเพียงแห่งเดียว
อนุรักษ์: คุณลุงดูโทรทัศน์ไหมครับ
ลุงขนบ: ดู
อนุรักษ์: จากเมื่อก่อนกับตอนสมัยนี้ คุณลุงคิดว่ามีการพัฒนาไปไกลไหมครับ
ลุงขนบ: ไกลมาก ไกลมากแบบทันโลกเลย ทั่วโลกก่อนไม่ค่อยรู้จักเลย จะรบสงครมสงครามอะไรก็ใช้โทรทัศน์ วิทยุเอาทั้งนั้นแหละ เพราะไม่รู้ไม่เห็น สมัยนี้เห็นตัวหมด เห็นอะไรหมด
อนุรักษ์: ส่วนใหญ่ดูโทรทัศน์ ลุงดูรายการอะไรครับ
ลุงขนบ: มันก็ทั่วไปนะ แต่ข่าวก็ชอบแล้วก็หนังจีน ยิ่งชอบเลย พวกฟันดาบนะ หนังอะไรที่ไม่มีประโยชน์ที่ไม่มีสาระก็ไม่ดู
อนุรักษ์: อย่างที่ลุงชอบดูหนังจีนนี่ เคยอ่านหนังสือพวกกำลังภายในมั๊ยครับ
ลุงขนบ: ไม่เคยอ่านหรอกได้แต่ดู
อนุรักษ์: แล้วบ้านลุงอยู่ตรงนี้หรอครับ
ลุงขนบ: ตอนนี้หรอ พักอยู่หาดวอนนภาศัพท์ ใกล้โรงเรียนโน้น
ฉัตรธิดา: กิจวัตรประจำวันของลุงนี่ทำอะไรบ้างคะ ในหนึ่งวัน
ลุงขนบ: มันก็อยู่กับหลานไม่ได้ทำอะไรหรอก บางทีก็มาเล่นหมากรุกหมดเวลาไปวันๆ คลายเครียดไม่รู้จะไปไหน
ฉัตรธิดา: คิดว่าลุงได้ประโยชน์อะไรจากหมากรุกบ้าง
ลุงขนบ: ฝึกสมองด้วย ทำให้ไม่เป็นโรค อะไรนะ โรคไอ้สมองเสื่อมนะ ไซเมอร์ ไซเมอร์ อะไรเนี่ยแหละ
ฉัตรธิดา: สอนหนูเล่นหมากรุกบ้างจะได้ไหมคะ
ลุงขนบ: สอน ผมสอนไม่ได้อ่ะ น้องเก่งกว่าแล้วสมัยนี้ สอนใครไม่ได้หรอก
ฉัตรธิดา: หนูเล่นหมากรุกไม่เป็น
ลุงขนบ: ไม่เป็นก็สอนได้ ผมเป็นคนเล่นไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่หรอก เล่นเอาสนุกไปวันๆ
อนุรักษ์: ลุงเล่นศึกษาเองหรือครับ
ลุงขนบ: ครับ มาเล่นตอนเป็นครูใหม่ๆ
อนุรักษ์: แล้วลุงเดินทางมาร้านนี้ยังไงครับ
ลุงขนบ: ไหนครับ มารถเครื่อง ผมมีรถใหญ่ที่บ้านแต่ขับไม่เป็น มีรถเครื่องเก่าๆ สามสิบกว่าปีแล้ว
ฉัตรธิดา: แล้วมาเล่นหมากรุกที่นี่ ทุกวันเลยหรอคะ
ลุงขนบ: แทบทุกวันครับ แทบน่ะ ไม่ใช่ทุกวัน แต่ก็เกือบๆ ทุกวัน วันไหนไม่ว่างเพราะติดธุระ ก็ไม่ได้มา ที่เล่นเยอะไปทางตาลล้อมก็มี แต่นักเล่นเค้ามาทางนี้ ทางนู้นก็ไม่มีคน มันหายไป หายไป
อนุรักษ์: เป็นกลุ่มคนเล่นเลยหรอครับ
ลุงขนบ: พอมีสี่ห้าคน บางคนเค้าเล่นพนัน แต่ผมพนันไม่เป็น เสียดายเงิน เพื่อนอยากกินอะไรก็เลี้ยงได้ พนันมันมือสั่นมันไม่กล้า ถ้ากินเลี้ยงก็เลี้ยงได้ ถ้าเล่นแพ้เลย บุหรี่ก็สูบไม่เป็นนะ เหล้าก็ไม่กิน พวกที่มาเล่นที่เมามาผมก็ไล่ออกไปเรื่อย เมาแล้วพูดไปเรื่อย
อนุรักษ์: แล้วหนังสือพระที่ลุงอ่าน ซื้อเองเลยหรอครับ
ลุงขนบ: ซื้อ
ฉัตรธิดา: แล้วอัตราการซื้อบ่อยไหมคะ
ลุงขนบ: ไม่บ่อยแล้ว แต่ก่อนบ่อย ซื้อเป็นพันๆ เช่าพระบางครั้งก็เป็นหมื่น องค์เป็นหมื่นกว่าบาทก็มีบางทีก็เป็นหมื่นห้า เปลืองเงิน เราชอบนี่แต่ขายไม่ค่อยได้ แต่ก่อนยังมีขายได้เป็นแสนนะ ตอนนี้ขายไม่ออก เพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดี มีก็แต่พวกแลก พระเราดีๆ ไปแลกกับพระเก๊ก็มีโอ้ยโดนบ่อย
ฉัตรธิดา: ส่วนใหญ่ลุงไปดูแหล่งดูพระที่ไหน
ลุงขนบ: ก็ไม่ค่อยได้ไปนะ แต่ตอนนี้เขามาที่บ้านเองเลย เซียนพระเขาจะมา มาที่บ้าน มาเช่า มาแลก
ฉัตรธิดา: แล้วเวลาจะซื้อหนังสือพระนี่ไปซื้อที่ไหนคะ
ลุงขนบ: หนองมนครับ
อนุรักษ์: ที่ในห้างแหลมทองมีไหมครับ
ลุงขนบ: ห้างไหน
อนุรักษ์: ห้างแหลมทอง ร้านหนังสือเข้าไปไหมครับ
ลุงขนบ: โอ๊ย บ่อย เคยเข้าไปดูแต่ไม่ชอบ ดูอย่างเดียวแต่ไม่ซื้อ
อนุรักษ์: มีหนังสือพระมั๊ยครับ
ลุงขนบ: มีหลายอย่าง มีๆ แต่ไม่ได้สนใจหรอก
อนุรักษ์: ร้านที่ไปซื้อนี่ ร้านคนรู้จักหรือครับ
ลุงขนบ: ร้านเกษากรนี่ไง ที่ขายหนังสือพงหนังสือพิมพ์ ด้วยไง
ฉัตรธิดา: เห็นบอกเป็นร้านใหญ่
ลุงขนบ: อืมๆ ร้านใหญ่ นี่อยู่เอกอะไรกันครับ
ฉัตรธิดา/อนุรักษ์: บรรณาธิการศึกษาค่ะ/ครับ
ลุงขนบ: ฮึ บรรณาธิการ พวกหนังสือพิมพ์หรอ
ฉัตรธิดา: เปล่าค่ะ เราเป็นพวกหนังสือเล่ม
ลุงขนบ: อ้าว หนังสือเล่มหรอ ผมไม่รู้ ออกมาไม่เคยเจอไม่เคยได้ยิน
ฉัตรธิดา: เป็นหนังสือทั่วไปแหละคะ
ลุงขนบ: ทั่วไป
ฉัตรธิดา: อ่านเล่น แล้วก็จะมี บรรณาธิการ คอยดูแลนะคะ
ลุงขนบ: มีหลายอย่างนะ หนังสือพิมพ์ก็ได้ หนังสือพระ หนังสืออะไรก็ได้
ฉัตรธิดา: มีนิตยสารด้วยคะ
ลุงขนบ: นิตยสาร
ฉัตรธิดา: คืออะไรที่เป็นเล่มนะคะ
ลุงขนบ: ครับๆ อือเรียนแบบนี้ด้วย สมัยก่อนไม่มี
ฉัตรธิดา: เป็นครั้งแรกเหมือนกันค่ะ
ลุงขนบ: เมื่อก่อนไม่ค่อยมี
ฉัตรธิดา: แล้วหนูเป็นรุ่นแรกด้วยนะคะ
ลุงขนบ: มันไปถึงนู้นเลยนะ สมัยก่อนไม่ค่อยมี พึ่งเคยเจอเนี่ยแหละ เยอะแยะออกใหม่
อนุรักษ์: คุณลุงมีความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือสมัยนี้อย่างไรบ้างครับ
ลุงขนบ: สมัยนี้กับสมัยโบราณหรือฮะ ปัจจุบันมันดีกว่าเยอะ ก้าวหน้านะครับ แต่มันจะเสียเรื่องศีลธรรมมีน้อยไปหน่อย ส่วนมากมันจะเห็นแก่ตัว คือใครปากยาวสาวได้สาวเอาเลยล่ะ ไม่เหมือนโบราณ โบราณเนี่ยมีเพื่อน สมัยนี้มันไม่มี แม้กระทั่ง ต้นกระทงกระเทียม มันขายได้หมด โหระพงโหระพา แต่ก่อนให้ฟรี เดี๋ยวนี้เสียเงินหมด เป็นเงินหมดหายใจเป็นเงินเป็นทอง
อนุรักษ์: หนังสือพระที่ลุงอ่านตั้งแต่อดีต และปัจจุบันนี้เหมือนกันหรือเปล่าครับ
ลุงขนบ: มันก็คล้ายๆ ใกล้เคียงกันนะ เขียนบอกอย่างเห็นๆ รูปร่างลักษณะของพระแต่ละรูป เป็นยังไง อย่างนี้เรียกอะไร เป็นอย่างนั้น
ฉัตรธิดา: ภาษาในหนังสือพิมพ์ล่ะคะ คิดว่ารุนแรงไหม
ลุงขนบ: เอ่อ มันก็รุนแรงนะกับสื่อบางอย่าง มันก็เชื่อไม่ค่อยได้หรอก เพราะเห็นแก่เงิน คนไหนให้เงิน มันก็เอาสมัยก่อนมันยังเคยเอาผมไปลงเล่นหมากรุกเลย อะไรอ่ะ เลิกเรียนแล้วมันไม่เกี่ยวกันแล้ว เออไม่ได้เล่นในเวลาราชการนี่ อย่างคุณตอนเย็นเลิกเรียน นิสิตจบแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ ตอนหลังมันดีใหญ่ ไปไหนกระถงกฐินอะไร มันมาเรื่อยจ่ายให้มันไปเรื่อย แหมมันดีใจใหญ่ แต่ก่อนเราไม่เคยเข้าไปยุ่ง ไม่หรอกไม่เคยประจบ ประจบไม่เป็น ผมรับราชการไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่ เพราะว่ามันไม่มีเจ้านาย เจ้านายสมัยนี้มันชอบเจ้านายนะ ใครๆ ไม่ชอบเจ้านาย ผมไม่เชื่อหรอก ผมมีคติอยู่อันหนึ่งนะ แต่มันหยาบหน่อยนะ ขอพูดถึงเลยนะ “สายโลหิต (สายโลหิตที่เกิดมานะ) ศิษย์ตามนาย สายอีหนู สู้ไม่ถอย ล่อไข่แดง แกร่งวิชา(แกร่งวิชานี่ไม่ค่อยเท่าไหร่) คนเก่งไม่ค่อยได้เจริญเท่าไหร่ ” คนไหนติดตามนายก็จะได้ แต่ก็สู้สายโลหิตไม่ได้ มันจริงเปล่าไม่รู้นะ ไอ้เรามันไม่ค่อยก้าวหน้า ติดตามนายไม่เป็น ประจบไม่เป็น คนไหนแกร่งวิชาได้นิดเดียว รับราชการบางอย่างต้องเข้าเขานะ เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ไม่งั้นตาย คติเป็นอย่างนั้น และก็ไม่ผิดด้วยนะ บางคนอยากเลื่อนขั้นหาเด็กให้เจ้านาย เฮียผมยังเอาเลย ไม่หยาบนะ ต้องหาให้เจ้านายเหมือนก่อน ตอนหลังได้ 2 ขั้น เมื่อก่อนไม่ค่อยได้ ลองให้เพื่อนติดต่อให้ แต่เราออกเงิน
ลุงกิตติ: ครูเขาเปิดเผยความจริงออกมา
ลุงขนบ: เอ้า เรื่องจริง รับราชการมันเป็นอย่างนั้น ไม่งั้นไม่รุ่ง แต่ก่อนผมชอบฝ่ายค้าน แต่ไม่เจริญนะ
ลุงกิตติ: ต้องมีเส้นมีสายใช่ไหม
ลุงขนบ: แหมไอ้ 2 ขั้นที่ได้มาเพราะ หาเด็กให้เจ้านาย แหมได้งานจริงๆ เรื่องจริงนะ จะมาว่าลุงหยาบไม่ได้นะ พูดให้ฟังมันเป็นแบบนี้ รับราชการบางอย่างต้องเอาเจ้านาย
ลุงกิตติ: ดังนั้นการเมืองต้องมีพวกมีเส้นสาย
ลุงขนบ: ก็ต้องมีใครไม่มีไม่ได้ แย่เลย เราสิทีแรกไม่รู้ ขนาดเอาหน่อยๆ ยังได้ 5 หนไม่งั้นบางคนเขาได้เป็นสิบๆ มันได้ผลตอนเวลาบำนาญเรานี้แหละถ้าเราไปเร็วมันได้เร็ว ถ้าไม่งั้นเราได้เงินนิดเดียว นี่ปัจจุบันก็ได้สองหมื่นกว่าบาทโบราณนะ แหมสมัยนี้ก็บานแล้วห้าหกหมื่นไปเร็ว สมัยก่อนไม่มีผอ. เดี๋ยวนี้อะไรนะ เด็ก ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ไม่มีแล้วนา ผอ.หมด เงินประจำตำแหน่งมีแล้ว สมัยโบราณนะกว่าจะได้ต้องไปทำงานแทบตาย ตอนนั้นผมจะเป็น ผมจะเข้าทำเป็นอาจารย์ใหญ่ ต้องเข้าหา ดร.สุระ นะที่กรุงเทพฯ แหมต้องเข้าหาตัวใหญ่ๆ นะ ยังไม่ค่อยได้เลย เค้ามีตำแหน่งให้สมัยนี้ได้หมด
ลุงกิตติ: คณะอะไรนะ
อนุรักษ์: มนุษยศาสตร์ฯ ครับ
ลุงขนบ: มนุษยศาสตร์หรอ พวกนี้เก่งภาษาไทย ลูกสาวก็เรียนมนุษยศาสตร์ฯ นะ ตอนนี้สอนอยู่สมุทรฯ
ฉัตรธิดา: เป็นคุณครูหรอคะ
ลุงขนบ: ลูกสาวคนโตเป็นครู เค้าเป็นอาจารย์สามแล้วนะ ไปเร็วเด็กสมัยใหม่ รุ่นผมกว่าจะได้ตั้งปีโอ้ย นานจริงๆ บรรจุครั้งแรก 450 บาทเท่านั้นแหละ เงินเดือนนะ เพราะสมัยก่อนจบหกใช่มั๊ย แล้วผมก็มาสอบ อะไรนะ เขาเรียก เรียนปริญญาตรีเอาทีหลัง ไม่งั้นไม่ได้ เด็กสมัยนี้เค้าจบปริญญาปั๊บ อะไรนี่ (อ้าวเขาฟังผมโม้เพลินจนจะหลับไปแล้วนี่)
อนุรักษ์ / ฉัตรธิดา: ไม่เป็นไรครับคุยได้ คุณลุงอยากจะเล่าอะไรให้ฟังอีก เล่าได้เลยคะ
ลุงขนบ: อืม
อนุรักษ์: นิตยสารที่ลุงอ่านเป็นพระอย่างเดียวเลยหรอครับ ชื่ออะไรบ้าง
ลุงขนบ: โอ้ยมันมีชื่อแยะ เหลือเกินจำไม่ได้ มันมีหลายสีหลายคณะแข่งกัน ไม่มีเจ้าเดียวมีหลายเจ้า แต่ก่อนก็เคยอ่านของเชียร์ เชียร์นิตยสาร อะไรน่ะ จำไม่ค่อยได้แล้ว ปีนี้ไม่ค่อยได้สนใจแล้ว
ลุงขนบ: อะไรๆ เอามาอ่านสิ
ลุงกิตติ: ของลูกสาว
ลุงขนบ: ลูกสาวเรียนปริญญาตรีด้วยไม่ใช่เรอะ
ลุงขนบ: ก็นี่ไงปี 3 คณะมนุษย์ฯ เหมือนกัน
ลุงกิตติ: เรียนที่นี่หรอ อ๋อนี่ไงชื่อหมู่บ้านเขามีความหมายนะ มีอย่างไร หมู่บ้านนี้ก็ต้องมีประวัตินะ สมัย
ลุงขนบ: หนองมน ก่อนเขาเป็นน้ำมนต์ไง พระมาทำน้ำมนต์
ลุงกิตติ: หา
ลุงขนบ: อ้าวเขาเป็นน้ำมนต์นะ ไม่งั้นเขาจะชื่อหนองมนหรอ ไม่ไงจะชื่อหนองมนต์ได้ไง พระมาทำน้ำมนต์ คนก็มาอยู่กัน ทีแรกเรียกน้ำมนต์ก่อน ตรงที่เป็นหนองมน อย่างห้วยกะปิ ก็เพราะ กุ้งเยอะทำกะปิไง ขาก็เลยเรียกห้วยกะปิ
ลุงกิตติ: เฮ้ย เขามาจากชื่อคลองไม่ใช่เหรอ
ลุงขนบ: ไม่ใช่หรอกเขามาจากห้วย ห้วยก็เป็นห้วยน้ำ
ลุงขนบ: อย่างมาบมะยมที่ก็ต้นมะยมเยอะ
อนุรักษ์: แล้วหาดวอนละครับ หาดวอนนภา
ลุงขนบ: ก็นี่ไงยายวอน ยายวอนนภาศัพท์เขามาซื้อที่ไว้ไง ชื่อวอน คุณนายวอน นามสกุลนภาศัพท์ เป็นเมียหมอชิต แต่แกไม่ชอบแต่งตัวใครๆ ก็นึกว่าแกเป็นคนใช้นะ แกเป็นคนซื้อที่หาด แล้วก็ถวายให้พระราชินี นิดเดียว ไร่หนึ่งจะไปพออะไร
ลุงกิตติ: ก็ยังดีที่เขายังไง
ฉัตรธิดา: เมื่อนี้ม.บูรพา เป็นป่าชายเลนหมดเลยหรอคะ
ลุงขนบ: ตอนมามันยังไม่เป็น เป็นป่ารกรุงรังพูดง่ายๆว่ามันเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ เป็นทุ่งเลย เลี้ยงวัวเลี้ยงควายเยอะ ก็แบบนั้นเต็มไปหมด
ลุงขนบ: ก็เหมือน พักยง ลูกน้องผมนะไปทำงาน เป็นครูใหญ่ เขาว่ามีแต่ทุ่ง โคกกระลุ่น ไร่มุมโค้ง ไร่ไม่กี่เท่าไร ไร่มีแต่ขี้หมาขี้อะไรทั้งนั้น ไร่ไม่ถึงพันนะ เดี๋ยวนี้ไม่รู้กี่สิบล้าน เขาบอกว่าเขามาใหม่ เขามีเงินมาหมื่นหนึ่งถ้าซื้อที่ไว้ ป่านนี้รวยไปแล้ว เมื่อก่อนเศรษฐกิจ ก๋วยเตี๋ยวมันชามไม่เท่าไหร่ ตอนผมบรรจุใหม่ๆ 450 นะ ทองบาทหนึ่ง 380บาท ก๋วยเตี๋ยวชามละบาทเอง
อนุรักษ์: สอน พ.ศ. อะไรครับ
ลุงขนบ: 2498
ลุงกิตติ: อ้าวจดไปเลย ความรู้ไม่มีในห้อง ข้อมูลดีๆ ทั้งนั้นแหละ แล้วมันได้ของแท้หรอ
ลุงขนบ: ของแท้สิของจริงๆ แต่ก่อนเงินเดือนพอซื้อทองได้บาทหนึ่ง เดี๋ยวนี้คนเงินเดือนเป็นหมื่นไม่พอซื้อทอง 450 เมื่อก่อนยังเหลือ เดี๋ยวนี้ไม่พอซื้อทอง
เพื่อนของลุงขนบ: มาๆ เล่นๆ หมากรุก
ลุงขนบ: เฮีย เขามาสัมภาษณ์ผมนะ