ทุกๆสองปีนักกีฬา ‘คนพิเศษ’จากทั่วประเทศจะมารวมตัวกัน ในการแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติ คนพิเศษในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีภาวะผิดปรกติทางสมองเป็นโรคออทิสติก ดาวน์ซินโดรม ฯลฯ
ซึ่งในปีนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จทรงเป็นประธานเปิดการแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติ ในวันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ 2551
จุดมุ่งหมายของการแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาตินั้น เพื่อเป็นกิจกรรมให้คนพิเศษที่ส่วนใหญ่ถูกจำกัดให้มีชีวิตอยู่ในวงแคบๆแค่ในบ้านหรือโรงเรียนกินนอน ให้มีกิจกรรมสังคม ให้ได้รู้จักโลกภายนอก พบปะเพื่อนใหม่ การแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติมองผลลัพธ์เรื่องสุขภาพกาย เป็นประเด็นรองลงไปจากการที่จะให้กีฬาเป็นจุดเริ่มต้นให้คนพิเศษหลายคนรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง การแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกไม่ได้เน้นในเรื่องของผลการแข่งขัน ไม่ได้มองค่าความสำเร็จของคนอยู่ที่เหรียญรางวัลแต่คำว่าประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การได้เหรียญทอง แต่คือการที่พวกเขาได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำได้ จากคนที่ไม่เคยปาอะไรได้ ก็ปาได้ถูก จากคนที่ไม่เคยวิ่งถึงเส้นชัย ก็วิ่งถึง
ประเภทกีฬาที่มีการแข่งขันในกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติได้แก่
สเปเชียลโอลิมปิคไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2530 โดย คุณหญิงโสภร วงศ์สวรรค์ เป็นประธานท่านแรก เริ่มดำเนินการภายใต้มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ต่อมาอีก 4 ปี ในสมัยที่ คุณหญิงวิจันทรา บุนนาค เป็นประธาน สเปเชียลโอลิมปิคไทยได้จดทะเบียนเป็นสมาชิกสมาคมกีฬาของการกีฬาแห่งประเทศไทย เมื่อถึงวาระที่ ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ เป็นประธานท่านได้รับเชิญให้เป็นกรรมการของคณะกรรมการการอำนวยการสเปเชียลโอลิมปิคสากล (Special Olympics International) ในปี 2538 ทุกวันนี้ประเทศไทยมีนักกีฬาสเปเชียลโอลิมปิคในโครงการมากกว่า 13,000 คน โดยครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย เปิดโอกาสให้มีการเล่นกีฬาที่หลากหลาย อาทิ กรีฑา ฟุตบอล บาสเกตบอล บอชชี่ ปิงปอง ว่ายน้ำ เทนนิส และการฝึกทักษะกลไกให้กับผู้ที่พิการซ้ำซ้อน ประธานปัจจุบันของสเปเชียลโอลิมปิค คือ รองศาสตราจารย์ ดร.นริศ ชัยสูตร
ข้อมูลของโรคภาวะผิดปรกติทางสมอง
โรคออทิสติก
โรคออทิสติกเป็นโรคทางจิตเวชเด็ก โรคนี้ถูกรายงานตั้งแต่ปี 1943 โดยจิตแพทย์เด็กชื่อ แคนเนอร์ เขาพบว่าเด็กมีอาการแปลก ๆ เช่น พูดเลียนเสียง พูดช้า ทำซ้ำ ๆ สื่อสารไม่เข้าใจ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจคนอื่น เล่นไม่เป็น เขาได้ติดตามอาการของเด็กจำนวน 11 คน เป็นเวลา 5 ปี พบว่ามีความแตกต่างจากเด็กปัญญาอ่อน จึงเรียกเด็กเหล่านี้ว่า ออทิสติก ซึ่งแปลว่า แยกตัวอยู่ในโลกของตัวเอง หลังจากนั้นนักวิชาการได้ทำการศึกษารายละเอียดของโรค พบว่าเด็กจะมีความผิดปกติก่อนอายุ 3 ปี และมีความรุนแรงไม่เท่ากัน พฤติกรรมที่สามารถเห็นในเด็ก ได้แก่ พัฒนาการทางสังคมล่าช้า การสื่อความหมายและจินตนาการมีความผิดปกติไปจากเด็กในวัยเดียวกัน ไม่สามารถสื่อความหมายกับบุคคลรอบข้าง เมื่อถึงวัยที่ควรจะพูดก็พูดไม่ได้ทั้งที่ไม่มีอาการหูหนวก ต่อมาเริ่มพูดภาษาตนเองที่มนุษย์ฟังไม่เข้าใจ เด็กไม่สามารถเข้าใจคำสั่งง่าย ๆได้ เล่นกับใครไม่เป็น เล่นของเล่นไม่เป็น เนื่องจากขาดจินตนาการอุบัติการณ์พบได้ประมาณ 4:1000 ของเด็กทั่วไป พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง อัตราการเกิดของเพศชาย : เพศหญิง = 4-5:1สาเหตุของโรคโรคออทิสติกมีสาเหตุจากภาวะต่าง ๆ มากมาย สิ่งใดก็ตามที่ทำให้ภาวะสมองผิดปกติไปอาจเกิดตั้งแต่เด็กอยู่ใครรภ์มารดา ระหว่างการคลอดหรือภายหลังการคลอด เช่น มารดาเป็นโรคหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ เด็กขาดออกซิเจนระหว่างการคลอด หรือการเจ็บป่วยของเด็กหลังคลอด มีหลักฐานแสดงว่า เด็กออทิสติกมีความผิดปกติทางหน้าที่สมอง เด็กออทิสติก ร้อยละ 25-30 มีอาการของโรคลมชักในระยะเริ่มต้น การตรวจคลื่นสมองด้วยไฟฟ้า พบว่ามีความผิดปกติของคลื่นสมองแบบไม่เฉพาะเจาะจงมากกว่าเด็กทั่วไป จากการศึกษาวิจัยของแพทย์ทางระบบประสาทและทางพยาธิวิทยาพบว่าสมองของเด็กออทิสติก มีเซลล์สมองผิดปกติอยู่ 2 แห่ง คือ บริเวณที่ควบคุมด้านความจำ อารมณ์และแรงจูงใจ และส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ลักษณะของเซลล์ที่พบคือเป็นเซลล์ที่ไม่พัฒนาไปตามวัยของเด็ก สำหรับปัจจัยทางด้านการเลี้ยงดูนั้น ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงแต่เป็นสาเหตุส่งเสริมที่ทำให้เด็กท่เป็นออทิสติกอยู่แล้วมีอาการมากขึ้นหรือช่วยให้อาการของเด็กดีขึ้นการวินิจฉัยโรคออทิสติกการวินิจฉัยโรคประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้1. การซักประวัติ จากบิดามารดา หรือผู้เลี้ยงดู2. การตรวจและประเมินเพื่อการวินิจฉัย3. การสังเกตพฤติกรรมของเด็กเพื่อประกอบการวินิจฉัย4. การตววจวินิจฉัยทางการแพทย์การรักษาปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคออทิสติกโดยเฉพาะ การรักษาทางยาในปัจจุบันเป็นการใช้ยารักษาตามอาการ เพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เชน อาการไม่หยุดนิ่ง ไม่มีสมาธิ พฤติกรรมก้าวร้าว และจะใช้ยาก็ต่อเมื่อใช้วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วไม่ได้ผลบิดารมารดาหรือผู้ที่ดูแลเด็กเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด ถ้าสังเกตเห็นว่าบุตรหลานของตนมีอาการดังที่กล่าวมาควรพาไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาได้ทันท่วงที สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับท่าน
โรคดาวน์ซินโดรม
กลุ่มอาการดาวน์หรือดาวน์ซินโดรม เป็นโรคพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่พบได้บ่อยที่สุด เด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีศีรษะค่อนข้างเล็ก แบน และตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก ลิ้นมักยื่นออกมา ตัวค่อนข้างเตี้ย มือสั้น มักมีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือโรคลำไส้อุดตันตั้งแต่แรกเกิด เด็กพวกนี้จะมีใบหน้าคล้ายคลึงกันมากกว่าพี่น้องท้องเดียวกัน ปัญหาสำคัญที่สุดของเด็กเหล่านี้ก็คือ ภาวะปัญญาอ่อน นอกจากนี้ก็คือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และภาวะต่อมไทรอยด์บกพร่อง
โดยทั่วไปเด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีใบหน้าและรูปร่างลักษณะที่จำเพาะ แพทย์ พยาบาล สามารถให้การวินิจฉัยได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้อาจสังเหตได้จากลักษณะของเด็กที่ตัวค่อนข้างนิ่ม หรืออ่อนปวกเปียก การมีพัฒนาการที่ล่าช้า เช่น นั่งช้า ยืนช้า เดินช้า และพูดช้า หากลูกของท่านมีลักษณะดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์
การตรวจสอบว่าลูกของท่านเป็นกลุ่มอาการดาวน์จริง ก็โดยการตรวจวิเคราะห์โครโมโซม ซึ่งทำได้ที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ และโรงเรียนแพทย์ทุกแห่ง โครโมโซมซึ่งเป็นแท่งนำสารพันธุกรรมในคนเราจะมีจำนวน 46 แท่งด้วยกัน ในหนึ่งเซลล์เพศหญิงจะเป็น 46,XX และเพศชายจะเป็น 46,XY หากจำนวนโครโมโซมน้อยไปหรือมากเกินไปก็ก่อให้เกิดปัญหาที่รุนแรง ได้แก่ ภาวะปัญญาอ่อน หรือแท้งบ่อยๆ หรือความพิการแต่กำเนิด
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดก็คือ การมีโครโมโซมเกินไป 1 แท่ง คือ โครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 แท่ง แทนที่จะมี 2 แท่ง ความผิดปกติแบบนี้แพทย์เรียกว่า TRISOMY 21 ซึ่งพบได้ถึง 95% สาเหตุรองลงมาเรียกว่า TRANSLOCATION คือมีโครโมโซมย้ายที่ เช่น โครโมโซมคู่ที่ 14 มายึดติดกับคู่ที่ 21 เป็นต้น พบได้ 4% ส่วนสาเหตุที่พบได้น้อยที่สุดคือมีโครโมโซมทั้ง 46 และ 47 แท่งในคนๆ เดียว พบได้เพียง 1% เท่านั้นเรียกว่า MOSAIC
เนื่องจากกลุ่มอาการดาวน์มีภาวะปัญญาอ่อนเป็นปัญหาสำคัญปัจจุบันยังไมีมีการรักษา ที่สำคัญที่สุดและมีประโยชน์มากก็คือ การกระตุ้นพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อายุ 1-2 เดือนหลังคลอด เพื่อให้เด็กเหล่านี้สามารถยืนได้ เดินได้ ช่วยตนเองได้มากที่สุด และเป็นภาระน้อยที่สุด จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าการกระตุ้นพัฒนาการ จะช่วยเพิ่มพูนศักยภาพได้อย่างชัดเจนและจะได้ผลดีที่สุด หากทำในระยะ 2 เดือนถึง 2 ปีแรกของชีวิต นอกจากนั้นก็ควรมีการฝึกพูดอย่างสม่ำเสมอโดยเริ่มตั้งแต่อายุ 12-15 เดือน
เด็กเหล่านี้จะมีเชาวน์ปัญญาอยู่ในระดับปัญญาอ่อนปานกลาง แต่สามารถฝึกทักษะได้ผล (TRAINABLE) ปัจจุบันมีความโน้มเอียงที่จะให้เด็กกลุ่มอาการดาวน์เข้าศึกษาร่วมกับเด็กปกติในโรงเรียนธรรมดามากขึ้น เช่น โรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมใกล้บ้านของท่าน
โรงพยาบาลราชานุกูล กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีโรงเรียนและสาขาหลายแห่งที่ให้การศึกษา และฝึกทักษะให้เด็กเหล่านี้มีความสามารถประกอบอาชีพได้ แต่จำเป็นต้องมีการดูแล ควบคุมตลอดไป สถานที่ดังกล่าวมีอยู่น้อยแห่งในประเทศไทย ในต่างจังหวัดมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อน ในพระรชินูปถัมภ์ มีสาขาที่ จ.เชียงใหม่ ในภาคเหนือ จ.อุดรธานีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจ.นครศรีธรรมราชภาคใต้ เป็นต้น สำหรับสถาบันเอกชนที่จัดตั้งขึ้นยังมีน้อยแห่ง เช่น มูลนิธิสถาบันแสงสว่าง
กลุ่มอาการดาวน์นี้สามารถป้องกันได้โดยการวินิจฉัยก่อนคลอด ปัจจุบันมักทำกันในหญิงตั้งครรภ์ที่อัตราเสี่ยงสูง เช่น อายุมากกว่า 35 ปี ขึ้นไป โดยแพทย์สมารถเจาะน้ำคร่ำมาตรวจดูโครโมโซมของเด็กในครรภ์ว่าผิดปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติคู่สามีภรรยาอาจเลือกยุติการตั้งครรภ์ได้ก่อนพิจารณาทำการวินิจฉัย
ก่อนคลอดควรปรึกษาแพทย์เสมอเป็นสิ่งจำเป็นแก่พ่อแม่ที่มีลูกปัญญาอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาการดาวน์ เพราะพบได้บ่อยที่สุด โดยมีอุบัติการณ์ของโรคประมาณ 1 ต่อ 1,000 เป็นการให้ความรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคที่ลูกของท่านเป็น ตลอดจนการดูแลรักษาและให้ความช่วยเหลือต่างๆ ที่บุตรของท่านควรได้รับ เพื่อเขาจะได้พัฒนาและมีศักยภาพที่ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้
กรีฑา(ลู่-ลาน)
ว่ายน้ำ
บาสเก็ตบอลทีมและทักษะ
ฟุตบอลทีมและทักษะ
เทเบิลเทนนิสประเภทเดี่ยวและทักษะ
เทนนิส
แบดมินตันประเภทเดี่ยว
บอชชี่
แอร์โรบิคส์ (ฟลอร์เอ็กเซอร์ไซด์)
การแข่งขันเต้นแอร์โรบิคส์ เป็นการแข่งขันกิจกรรมท่าประกอบจังหวะ โดยจะพิจารณาจากการเต้นที่เข้ากับจังหวะดนตรี ลีลาความสวยงามของการเต้น ท่าทางที่แสดงการออกกำลังควบคุมทุกส่วนของร่างกาย และ ความพร้อมเพรียง นักกีฬาที่เข้าแข่งขันรายการนี้เป็นผู้พิการระดับปัญญาอ่อนปานกลาง และระดับปัญญาอ่อนน้อย ที่มีความสามารถในการเล่นกีฬาอื่นๆ ด้วย แบ่งออกเป็นรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี และ รุ่น 16 ปีขึ้นไป
การแข่งขันทักษะกลไก (MATP-Motor Activity Training Program) เป็นกิจกรรมที่ออกแบบมาเพื่อผู้ที่มีความพิการทางสมองและปัญญาเป็นอย่างมาก รวมถึงผู้ที่พิการซ้ำซ้อน ซึ่งไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันสเปเชียล โอลิมปิคในกีฬามาตรฐานได้ กิจกรรมทักษะกลไก (Motor Activity Training Program) เป็นกิจกรรมที่เน้นให้นักกีฬาได้พัฒนาสุขภาพและการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ เพื่อช่วยให้นักกีฬามีทักษะ และความสามารถในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ออกสู่สังคม
การแข่งขันกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติไม่ได้มีการให้เหรียญรางวัลแก่ผู้ชนะลำดับที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม อย่างเดียวเหมือนกับการแข่งขันกีฬารายการอื่น เพราะคนพิเศษทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน ถ้าสามารถลงแข่งได้อย่างถูกต้องตามกติกา ก็จะมีเหรียญรางวัล ซึ่งเป็นริบบิ้นห้อยคอพร้อมลำดับที่ตนเองทำได้ เป็นรางวัลแห่งความภูมิใจกลับไปกันทุกคน เพราะสำหรับคนพิเศษแล้ว การแข่งขันกีฬาให้ถูกกติกามันยากมากๆไม่ง่ายเหมือนคนทั่วไป สมมุติว่าแข่งวิ่ง การจะวิ่งให้ครบรอบตามกติกาสำหรับคนพิเศษไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเขารู้สึกเหนื่อยเขาก็จะหยุด แต่ถ้าเขาเหนื่อยแต่ยังวิ่งจนสำเร็จ เราต้องยกย่องเขา แม้ว่าจะไม่ได้เข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่งก็ตาม
การแข่งขันกีฬาสปเชียลโอลิมปิกแห่งชาติจัดขึ้นโดยสมาคมกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งไทย ซึ่งมีประวัติความเป็นมาดังนี้
สเปเชียลโอลิมปิคไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2530 โดย คุณหญิงโสภร วงศ์สวรรค์ เป็นประธานท่านแรก เริ่มดำเนินการภายใต้มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ต่อมาอีก 4 ปี ในสมัยที่ คุณหญิงวิจันทรา บุนนาค เป็นประธาน สเปเชียลโอลิมปิคไทยได้จดทะเบียนเป็นสมาชิกสมาคมกีฬาของการกีฬาแห่งประเทศไทย เมื่อถึงวาระที่ ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ เป็นประธานท่านได้รับเชิญให้เป็นกรรมการของคณะกรรมการการอำนวยการสเปเชียลโอลิมปิคสากล (Special Olympics International) ในปี 2538 ทุกวันนี้ประเทศไทยมีนักกีฬาสเปเชียลโอลิมปิคในโครงการมากกว่า 13,000 คน โดยครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย เปิดโอกาสให้มีการเล่นกีฬาที่หลากหลาย อาทิ กรีฑา ฟุตบอล บาสเกตบอล บอชชี่ ปิงปอง ว่ายน้ำ เทนนิส และการฝึกทักษะกลไกให้กับผู้ที่พิการซ้ำซ้อน ประธานปัจจุบันของสเปเชียลโอลิมปิค คือ รองศาสตราจารย์ ดร.นริศ ชัยสูตร
ข้อมูลของโรคภาวะผิดปรกติทางสมอง
โรคออทิสติก
โรคออทิสติกเป็นโรคทางจิตเวชเด็ก โรคนี้ถูกรายงานตั้งแต่ปี 1943 โดยจิตแพทย์เด็กชื่อ แคนเนอร์ เขาพบว่าเด็กมีอาการแปลก ๆ เช่น พูดเลียนเสียง พูดช้า ทำซ้ำ ๆ สื่อสารไม่เข้าใจ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจคนอื่น เล่นไม่เป็น เขาได้ติดตามอาการของเด็กจำนวน 11 คน เป็นเวลา 5 ปี พบว่ามีความแตกต่างจากเด็กปัญญาอ่อน จึงเรียกเด็กเหล่านี้ว่า ออทิสติก ซึ่งแปลว่า แยกตัวอยู่ในโลกของตัวเอง หลังจากนั้นนักวิชาการได้ทำการศึกษารายละเอียดของโรค พบว่าเด็กจะมีความผิดปกติก่อนอายุ 3 ปี และมีความรุนแรงไม่เท่ากัน พฤติกรรมที่สามารถเห็นในเด็ก ได้แก่ พัฒนาการทางสังคมล่าช้า การสื่อความหมายและจินตนาการมีความผิดปกติไปจากเด็กในวัยเดียวกัน ไม่สามารถสื่อความหมายกับบุคคลรอบข้าง เมื่อถึงวัยที่ควรจะพูดก็พูดไม่ได้ทั้งที่ไม่มีอาการหูหนวก ต่อมาเริ่มพูดภาษาตนเองที่มนุษย์ฟังไม่เข้าใจ เด็กไม่สามารถเข้าใจคำสั่งง่าย ๆได้ เล่นกับใครไม่เป็น เล่นของเล่นไม่เป็น เนื่องจากขาดจินตนาการอุบัติการณ์พบได้ประมาณ 4:1000 ของเด็กทั่วไป พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง อัตราการเกิดของเพศชาย : เพศหญิง = 4-5:1สาเหตุของโรคโรคออทิสติกมีสาเหตุจากภาวะต่าง ๆ มากมาย สิ่งใดก็ตามที่ทำให้ภาวะสมองผิดปกติไปอาจเกิดตั้งแต่เด็กอยู่ใครรภ์มารดา ระหว่างการคลอดหรือภายหลังการคลอด เช่น มารดาเป็นโรคหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ เด็กขาดออกซิเจนระหว่างการคลอด หรือการเจ็บป่วยของเด็กหลังคลอด มีหลักฐานแสดงว่า เด็กออทิสติกมีความผิดปกติทางหน้าที่สมอง เด็กออทิสติก ร้อยละ 25-30 มีอาการของโรคลมชักในระยะเริ่มต้น การตรวจคลื่นสมองด้วยไฟฟ้า พบว่ามีความผิดปกติของคลื่นสมองแบบไม่เฉพาะเจาะจงมากกว่าเด็กทั่วไป จากการศึกษาวิจัยของแพทย์ทางระบบประสาทและทางพยาธิวิทยาพบว่าสมองของเด็กออทิสติก มีเซลล์สมองผิดปกติอยู่ 2 แห่ง คือ บริเวณที่ควบคุมด้านความจำ อารมณ์และแรงจูงใจ และส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ลักษณะของเซลล์ที่พบคือเป็นเซลล์ที่ไม่พัฒนาไปตามวัยของเด็ก สำหรับปัจจัยทางด้านการเลี้ยงดูนั้น ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงแต่เป็นสาเหตุส่งเสริมที่ทำให้เด็กท่เป็นออทิสติกอยู่แล้วมีอาการมากขึ้นหรือช่วยให้อาการของเด็กดีขึ้นการวินิจฉัยโรคออทิสติกการวินิจฉัยโรคประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้1. การซักประวัติ จากบิดามารดา หรือผู้เลี้ยงดู2. การตรวจและประเมินเพื่อการวินิจฉัย3. การสังเกตพฤติกรรมของเด็กเพื่อประกอบการวินิจฉัย4. การตววจวินิจฉัยทางการแพทย์การรักษาปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคออทิสติกโดยเฉพาะ การรักษาทางยาในปัจจุบันเป็นการใช้ยารักษาตามอาการ เพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เชน อาการไม่หยุดนิ่ง ไม่มีสมาธิ พฤติกรรมก้าวร้าว และจะใช้ยาก็ต่อเมื่อใช้วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วไม่ได้ผลบิดารมารดาหรือผู้ที่ดูแลเด็กเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด ถ้าสังเกตเห็นว่าบุตรหลานของตนมีอาการดังที่กล่าวมาควรพาไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาได้ทันท่วงที สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับท่าน
โรคดาวน์ซินโดรม
กลุ่มอาการดาวน์หรือดาวน์ซินโดรม เป็นโรคพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่พบได้บ่อยที่สุด เด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีศีรษะค่อนข้างเล็ก แบน และตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก ลิ้นมักยื่นออกมา ตัวค่อนข้างเตี้ย มือสั้น มักมีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือโรคลำไส้อุดตันตั้งแต่แรกเกิด เด็กพวกนี้จะมีใบหน้าคล้ายคลึงกันมากกว่าพี่น้องท้องเดียวกัน ปัญหาสำคัญที่สุดของเด็กเหล่านี้ก็คือ ภาวะปัญญาอ่อน นอกจากนี้ก็คือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และภาวะต่อมไทรอยด์บกพร่อง
โดยทั่วไปเด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีใบหน้าและรูปร่างลักษณะที่จำเพาะ แพทย์ พยาบาล สามารถให้การวินิจฉัยได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้อาจสังเหตได้จากลักษณะของเด็กที่ตัวค่อนข้างนิ่ม หรืออ่อนปวกเปียก การมีพัฒนาการที่ล่าช้า เช่น นั่งช้า ยืนช้า เดินช้า และพูดช้า หากลูกของท่านมีลักษณะดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์
การตรวจสอบว่าลูกของท่านเป็นกลุ่มอาการดาวน์จริง ก็โดยการตรวจวิเคราะห์โครโมโซม ซึ่งทำได้ที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ และโรงเรียนแพทย์ทุกแห่ง โครโมโซมซึ่งเป็นแท่งนำสารพันธุกรรมในคนเราจะมีจำนวน 46 แท่งด้วยกัน ในหนึ่งเซลล์เพศหญิงจะเป็น 46,XX และเพศชายจะเป็น 46,XY หากจำนวนโครโมโซมน้อยไปหรือมากเกินไปก็ก่อให้เกิดปัญหาที่รุนแรง ได้แก่ ภาวะปัญญาอ่อน หรือแท้งบ่อยๆ หรือความพิการแต่กำเนิด
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดก็คือ การมีโครโมโซมเกินไป 1 แท่ง คือ โครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 แท่ง แทนที่จะมี 2 แท่ง ความผิดปกติแบบนี้แพทย์เรียกว่า TRISOMY 21 ซึ่งพบได้ถึง 95% สาเหตุรองลงมาเรียกว่า TRANSLOCATION คือมีโครโมโซมย้ายที่ เช่น โครโมโซมคู่ที่ 14 มายึดติดกับคู่ที่ 21 เป็นต้น พบได้ 4% ส่วนสาเหตุที่พบได้น้อยที่สุดคือมีโครโมโซมทั้ง 46 และ 47 แท่งในคนๆ เดียว พบได้เพียง 1% เท่านั้นเรียกว่า MOSAIC
เนื่องจากกลุ่มอาการดาวน์มีภาวะปัญญาอ่อนเป็นปัญหาสำคัญปัจจุบันยังไมีมีการรักษา ที่สำคัญที่สุดและมีประโยชน์มากก็คือ การกระตุ้นพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อายุ 1-2 เดือนหลังคลอด เพื่อให้เด็กเหล่านี้สามารถยืนได้ เดินได้ ช่วยตนเองได้มากที่สุด และเป็นภาระน้อยที่สุด จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าการกระตุ้นพัฒนาการ จะช่วยเพิ่มพูนศักยภาพได้อย่างชัดเจนและจะได้ผลดีที่สุด หากทำในระยะ 2 เดือนถึง 2 ปีแรกของชีวิต นอกจากนั้นก็ควรมีการฝึกพูดอย่างสม่ำเสมอโดยเริ่มตั้งแต่อายุ 12-15 เดือน
เด็กเหล่านี้จะมีเชาวน์ปัญญาอยู่ในระดับปัญญาอ่อนปานกลาง แต่สามารถฝึกทักษะได้ผล (TRAINABLE) ปัจจุบันมีความโน้มเอียงที่จะให้เด็กกลุ่มอาการดาวน์เข้าศึกษาร่วมกับเด็กปกติในโรงเรียนธรรมดามากขึ้น เช่น โรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมใกล้บ้านของท่าน
โรงพยาบาลราชานุกูล กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีโรงเรียนและสาขาหลายแห่งที่ให้การศึกษา และฝึกทักษะให้เด็กเหล่านี้มีความสามารถประกอบอาชีพได้ แต่จำเป็นต้องมีการดูแล ควบคุมตลอดไป สถานที่ดังกล่าวมีอยู่น้อยแห่งในประเทศไทย ในต่างจังหวัดมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อน ในพระรชินูปถัมภ์ มีสาขาที่ จ.เชียงใหม่ ในภาคเหนือ จ.อุดรธานีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจ.นครศรีธรรมราชภาคใต้ เป็นต้น สำหรับสถาบันเอกชนที่จัดตั้งขึ้นยังมีน้อยแห่ง เช่น มูลนิธิสถาบันแสงสว่าง
กลุ่มอาการดาวน์นี้สามารถป้องกันได้โดยการวินิจฉัยก่อนคลอด ปัจจุบันมักทำกันในหญิงตั้งครรภ์ที่อัตราเสี่ยงสูง เช่น อายุมากกว่า 35 ปี ขึ้นไป โดยแพทย์สมารถเจาะน้ำคร่ำมาตรวจดูโครโมโซมของเด็กในครรภ์ว่าผิดปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติคู่สามีภรรยาอาจเลือกยุติการตั้งครรภ์ได้ก่อนพิจารณาทำการวินิจฉัย
ก่อนคลอดควรปรึกษาแพทย์เสมอเป็นสิ่งจำเป็นแก่พ่อแม่ที่มีลูกปัญญาอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาการดาวน์ เพราะพบได้บ่อยที่สุด โดยมีอุบัติการณ์ของโรคประมาณ 1 ต่อ 1,000 เป็นการให้ความรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคที่ลูกของท่านเป็น ตลอดจนการดูแลรักษาและให้ความช่วยเหลือต่างๆ ที่บุตรของท่านควรได้รับ เพื่อเขาจะได้พัฒนาและมีศักยภาพที่ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้
อ้างอิงจาก
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ 2551 หน้าจุดประกาย
www.eduzones.com
www.goodhealth.in.th
วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น