บทสัมภาษณ์อาจารย์ ดร. สฎายุ ธีระวณิชตระกูล(อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์)
ฉัตรธิดา: สวัสดีคะ
ดร. สฎายุ: สวัสดีครับ
ดร. สฎายุ: สวัสดีครับ
ฉัตรธิดา: อาจารย์ช่วยเล่าประวัติการทำงานของอาจารย์หน่อยได้ไหมคะ
ดร. สฎายุ: ครับ ผมชื่อ อาจารย์ ดร. สฎายุ ธีระวณิชตระกูลครับ เป็นบุคลากรของคณะศึกษาศาสตร์ ตอนนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหาร รับผิดชอบงานด้านประชาสัมพันธ์และฝ่ายอาคารสถานที่ของคณะศึกษาศาสตร์ครับ ในส่วนของวิชาการ ผมก็สังกัดภาควิชาบริหารการศึกษา ดูแลการสอนในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกครับ
ดร. สฎายุ: ครับ ผมชื่อ อาจารย์ ดร. สฎายุ ธีระวณิชตระกูลครับ เป็นบุคลากรของคณะศึกษาศาสตร์ ตอนนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหาร รับผิดชอบงานด้านประชาสัมพันธ์และฝ่ายอาคารสถานที่ของคณะศึกษาศาสตร์ครับ ในส่วนของวิชาการ ผมก็สังกัดภาควิชาบริหารการศึกษา ดูแลการสอนในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกครับ
ฉัตรธิดา: อาจารย์คิดว่าการอ่านมีความสำคัญต่อระบบการศึกษาอย่างไรบ้าง
ดร. สฎายุ: การอ่านกับการศึกษาผมคิดว่าแยกจากกันไม่ขาด เพราะว่าหัวใจของคนที่เข้ามาศึกษาก็คือการใฝ่เรียนใฝ่รู้ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เขาเรียกว่า Live Long Education คือ การศึกษาตลอดชีวิต lifelong learning คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต เครื่องมืออย่างหนึ่งที่ทำให้คนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ สิ่งนั้นคือ หนังสือ เพราะว่าอะไรครับ การอ่านหนังสือเนี่ยเป็นการเปิดโลกทัศน์ ไม่มีอะไรแล้วครับที่จะทำให้คนเราได้ learning by doing ลองผิดลองถูกเองทั้งหมด 100% มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก ส่วนหนึ่งก็ต้องเปิดโลกทัศน์ของการอ่านหนังสือ หนังสือแต่ละเล่มมีมุมมองที่แตกต่างกันไป บางเล่มที่เขียนดี มีจิตวิญญาณของผู้เขียนที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสารออกมา ถึงสิ่งที่เขาอยากจะพูดขึ้นมา สมัยก่อนมันอาจจะมีขัดจำกัดเรื่องของ หนังสือเนี่ย เมื่อสมัยโบราณย้อนไปยุคของโสเครติสอยากจะไได้ความรู้ มันไม่มีหนังสืออะไรประเภทนี้ ก็ต้องไปแลกเปลี่ยนความรู้ในที่ต่างๆ เขาเรียกว่าอะไรครับไปสนทนากับผุ้รู้ แต่เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ต้องไปทำอะไรให้มันยากขนาดนั้นแล้ว ในยุคนี้มันก็จะมีหนังสือเยอะแยะเลย หนังสือแต่ละเล่มที่ผลิตออกมานั้น โดยเฉพาะในส่วนของการศึกษาเนี่ย เขาเรียกเหมือนกัน แต่ภาษอังกฤษที่เขาว่าตอนนี้คุณทำอะไรอยู่ เขาไม่บอกนะว่าเขาเป็น student นะ เขาจะบอกว่าเขาเป็น Reader ก็คือคนอ่าน เป็นคนอ่าหนังสือนะครับ นี่ๆ คือภาพหนึ่งที่สะท้อนให้ เห็นว่ามันแยกกันไม่ออก แยกกันไม่ขาดนะ ระหว่างเรื่องของหนังสือและเรื่องของการศึกษานะครับ
ฉัตรธิดา: ในเมื่ออาจารย์บอกว่าหนังสือมีความสำคัญ แต่ตอนนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่มันเข้ามา อาจารย์คิดว่าหนังสือยังคงมีความสำคัญอยู่ไหมคะ
ดร. สฎายุ: สำคัญครับ มันแปลงสภาพจากที่เป็น Hard Copy ที่เรียกว่าหนังสือเล่มมาเป็น E-library ที่จะมี E-book อะไรต่างๆ แต่ความเป็นหนังสือเนี่ย ผมไม่แน่ใจนะว่าความเป็น different ion ของหนังสือทางนิเทศเขาจะบอกว่าหนังสือนั้นจะออกมาเป็น public ที่ตีพิมพ์อะไรเป็นรูปเล่มออกมาอะไรพวกนี้ หรือเปล่า แต่ผมเน้นในตัวของ content นะครับ ตัวเนื้อหาของการเป็นหนังสือมันจะออกมาเป็นในรูปแบบใด มันจะออกมาเป็น Hard Copy มันจะออกมาในรูปของ Electronic อะไรต่างๆ ผมก็เรียกว่ามัน ก็คือหนังสือเหมือนกันนะครับ ในยุคปัจจุบันถามว่า หนังสือมีบทบาทลดลงไหม ผมว่ามันไม่ได้มีบทบาทลดลง แต่คนทำหนังสือ อาจจะเหมือนกับมี Market share มากขึ้น แทนที่ว่าเขาจะไปตามชั้นหนังสือ ตามห้องสมุด เดี๋ยวนี้เขาก็อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และเขาอ่านจาก E-book อะไรต่างๆ แต่ ณ วันนี้ E-book ของเราเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ก็ยังค่อนข้างจะน้อยอยู่นะ ประเด็นที่หนึ่ง
ประเด็นที่สอง Supply มีน้อยนะ Demand คนอ่าน E-book คนที่ใช้เป็นก็มีน้อยอยู่ แต่บางคนเขาชอบอ่านที่มันเป็นแบบ Hard Copyนะ อย่างน้อยเขารู้สึกว่ามันได้เปิด แคร๊ก แคร๊ก เวลามีเสียง มันรู้สึกว่า นะ อะไรแบบนี้ ก่อนนอนก็เอามาอ่าน สามารถหนุนอะไรแบบนี้นะ มันได้ feeling ก็หลากหลายรูปแบบเพราะว่าอะไรครับ เพราะว่าเขา Design มาให้สอดคล้องกับลักษณะของการใช้งานเป็นดีที่สุด ทำยังไงให้เราออกแบบหนังสือ หรือ ออกแบบในการให้การอ่านหนังสือเนี่ยมันออกแบบแล้วเหมาะสมกับลักษณะของการใช้งานของแต่ละบุคคล นี่นอกจากตัว Content ที่เขาจะเลือก ผมยังหมายถึงตัวของ User
ตัวของพฤติกรรมผู้บริโภคตรงนี้ ต้องมองในมุมมองนั้นด้วย ถ้าทำได้นะก็จะรับการใช้บริการมากขึ้น
ประเด็นที่สอง Supply มีน้อยนะ Demand คนอ่าน E-book คนที่ใช้เป็นก็มีน้อยอยู่ แต่บางคนเขาชอบอ่านที่มันเป็นแบบ Hard Copyนะ อย่างน้อยเขารู้สึกว่ามันได้เปิด แคร๊ก แคร๊ก เวลามีเสียง มันรู้สึกว่า นะ อะไรแบบนี้ ก่อนนอนก็เอามาอ่าน สามารถหนุนอะไรแบบนี้นะ มันได้ feeling ก็หลากหลายรูปแบบเพราะว่าอะไรครับ เพราะว่าเขา Design มาให้สอดคล้องกับลักษณะของการใช้งานเป็นดีที่สุด ทำยังไงให้เราออกแบบหนังสือ หรือ ออกแบบในการให้การอ่านหนังสือเนี่ยมันออกแบบแล้วเหมาะสมกับลักษณะของการใช้งานของแต่ละบุคคล นี่นอกจากตัว Content ที่เขาจะเลือก ผมยังหมายถึงตัวของ User
ตัวของพฤติกรรมผู้บริโภคตรงนี้ ต้องมองในมุมมองนั้นด้วย ถ้าทำได้นะก็จะรับการใช้บริการมากขึ้น
อนุรักษ์: อย่างนั้นอาจารย์คิดว่าหนังสือ บางคนก็ชอบที่เป็นรูปเล่ม บางคนก็ชอบแบบเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ใช่ไหมครับ
ดร. สฎายุ: ครับ ถ้าคุณสะดวกที่จะใช้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ หรือสะดวกที่จะใช้เป็นรูปเล่มอย่างนี้ ก็แล้วแต่กรณี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย
ดร. สฎายุ: ครับ ถ้าคุณสะดวกที่จะใช้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ หรือสะดวกที่จะใช้เป็นรูปเล่มอย่างนี้ ก็แล้วแต่กรณี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย
ฉัตรธิดา: ไม่ว่าเนื้อหาจะเป็นในรูปแบบไหน แน่นอนจะต้องมีผู้ตรวจความถูกต้องของเนื้อหาก่อนที่จะออกมาเผยแพร่ นั่นก็คือบรรณาธิการ ใช่ไหมคะ แล้วอาจารย์คิดว่าจำเป็นไหมที่จะต้องมีบรรณาธิการ
ดร. สฎายุ: บรรณาธิการเนี่ย ถ้าว่าไปแล้วก็คือผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องของเนื้อหาสาระต่างๆ ของหนังสือหรือการนำเสนอ Information นั้นๆ ซึ่งบรรณาธิการไม่ได้แปลว่าคนเขียน แต่เป็นคนรับผิดชอบ อาจจะไม่ใช่แค่ตรวจทาน หรือพิสูจน์อักษร แต่บรรณาธิการเป็นเหมือนผู้กำกับนะ เอ๊ะ สาระอะไรที่จะเหมาะสม กับtheme ของหนังสือเล่มนี้ ควรจะมีอะไรบ้าง อันที่เขาเสนอมามันมีความเชื่อถือถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นหนังสือวิชาการ บรรณาธิการนี่เขาไม่ใช่ผู้รู้ไปทุกเรื่อง มันเป็นไปไม่ได้ เขาจะส่งไปให้ pre-review expert ทางด้านนั้นๆ ดูก่อน แล้วเขาจะตอบกลับมา บรรณาธิการก็จะต้องศึกษาเพื่อเพิ่มความมั่นใจ อาจจะให้ไปปรับแก้เล็กน้อยก่อนลง แต่ถ้าเป็นสาระทั่วไปที่ไม่ใช่วิชาการ บรรณาธิการก็จะรับมาแล้วก็ดูตรวจสอบความเหมาะสม ทั้งความถูกต้องของเนื้อหา แล้วความเหมาะสมที่จะสื่อสารออกมา เหมือนเป็นตัวแทนของตัว censor เป็นตัวกรอง ไปในตัวเพราะว่าอะไรครับ สิ่งใดที่เกิดขึ้นเขาฟ้องบรรณาธิการร่วมด้วย อาจจะเป็นผู้เขียนแต่แน่นอนบรรณาธิการ คุณจะต้องไปมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบนี้แน่นอน เพราะว่าบรรณาธิการก็คือ คนที่รับผิดชอบ เป็นปราการด่านสุดท้าย ก่อนที่หนังสือจะลงตีพิมพ์ออกมา อันนี้ผมหมายถึงหนังสือทั่วๆ ไป
อนุรักษ์: แล้วในคณะศึกษานี้ หรือมหาวิทยาลัยมีการทำวารสารและหนังสือ บรรณาธิการที่นี่ ทำอะไรบ้างครับ
ดร. สฎายุ: คือ คณะเรานี้บรรณาธิการก็คือ ผู้รับผิดชอบมีหลายคน อย่างวารสารของคณะศึกษาศาสตร์ ก็คือ คณบดีเป็นผู้บรรณาธิการเอง อย่างของเรามีจดหมายเหตุ จดหมายข่าวทางด้านศึกษาศาสตร์ แม้ว่ามันจะเป็นแค่จดหมายข่าว แต่เราก็มีบรรณาธิการนะ ว่าเนื้อหาสาระที่เราสื่อสารไปยังสาธารณะชนให้รับทราบ ไม่ใช่ว่าจะไปเอาสิ่งอะไรมา เราต้องมองตรงนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะภาพของสถาบันในส่วนที่รับผิดชอบหนังสือนั้นๆ บรรณาธิการก็ทำหน้าที่เป็นผู้เสมือนหนึ่งเป็นผู้แทนของสถาบันนั้นๆ ถ้าผมเป็นบรรณาธิการ อย่างตอนนี้ ผมรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการจดหมายข่าวอยู่ ผมไปเอาเรื่องอะไรที่มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ คลิปตรงนั้นคลิปตรงนี้เอามาลงสนุกสนาน มันไม่ตรงกับเรื่องแล้วบางทีมันก็กลายเป็นเราไม่ได้เสียคนเดียวนะ สถาบันมันเสียไปด้วยนะครับ ดังนั้นบรรณาธิการนี้มีความสำคัญครับ ตราบใดที่ว่าผู้บริโภคของเรานี้มี assumption ว่าเป็นผู้ชาญฉลาดนะ เขามีการเลือกนะ และยุคปัจจุบันนี้คนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ถ้าไปกระทบสิทธิ์ใคร ในรูปสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ นั้น มันต้องมีการพิจารณาตรงนี้เหมือนกัน บรรณาธิการนี่แหละ คือ คนที่จะรับผิดชอบ จะต้องคิดอย่างพิถีพิถันจริงๆ นะ บรรณาธิการนี้ผมว่าเป็นอะไรที่ไม่ง่ายนะครับ แต่ส่วนตัวผมเองไม่ได้มาทางนิเทศก็อาจจะไม่รู้ Definition หรือบทบาทที่ชัดเจนของบรรณาธิการ แต่วันหนึ่งจับพลัดจับผลู ต้องมาทำหน้าที่นี้ก็อาศัยในส่วนที่ว่าประสบการณ์ การสอบถาม และก็ทำงานจากผู้อื่นว่าจะทำอย่างไร แล้วลักษณะงานก็ให้แบ่งความรับผิดชอบกัน คนละคอลัมน์ๆ ไป แล้วจับมาใส่ เรามีการนัดประชุมก่อน ว่าตรงนี้จะลงเรื่องอะไร นี่ลงเรื่องอะไร ต้องวิเคราะห์อย่าง prudently แล้วว่าอะไรควรลง อะไรไม่ควรลง หรือถ้าควรลงหมดเลยอะไรควรมาก่อน อะไรควรมาหลัง ภาพจะเป็นอย่างไร ภาพนี้เหมาะไหม ตัวนี้ตัวอักษรลักษณะอย่างนี้ สาระนี้น่าจะครบถ้วนไหม อย่างที่ผ่านมานี้จดหมายข่าวคณะเราจะเป็นแบบ Past tense ค่อนข้างเยอะ คือเหตุการณ์อะไรในอดีตก็จะมาพูดให้ฟัง ที่นี้ผมมองปุ๊บ ผมคิดว่าเราน่าจะเปลี่ยนแปลงบ้าง เราทำไมไม่ลองเสนอเป็นแบบ future tense บ้างล่ะ ในภาพอนาคตว่าเราต้องการทำอะไร แล้วเสนอในความที่เป็นที่โดดเด่น ไม่ใช่ว่าอย่างนี้ก็จะเป็นแบบนี้ บางทีจดหมายข่าวนี้เดือนออกสองฉบับ สองเดือนออกหนึ่งฉบับ ผมคิดว่ามันจะต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เราใช้กระดาษไปอย่างไร้ค่าเปลืองทรัพยากรของประเทศ ไม่ได้อะไรขึ้นมา ถ้ามันเป็นสิ่งที่ผมมองว่าไม่น่าสนใจหรือดูแล้วมันไม่เป็นที่ตอบรับ การขับเคลื่อนนโยบายเท่าไหร่ ก็จะเลือกประชาสัมพันธ์วิธีอื่น ที่สำคัญมากกว่าเป็น future tense เป็นตัวสะท้อนกลับมาเรื่องนโยบายเรื่องวิสัยทัศน์อะไรนี่ ซึ่งหน้าที่นี้เป็นของบรรณาธิการ
ดร. สฎายุ: บรรณาธิการเนี่ย ถ้าว่าไปแล้วก็คือผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องของเนื้อหาสาระต่างๆ ของหนังสือหรือการนำเสนอ Information นั้นๆ ซึ่งบรรณาธิการไม่ได้แปลว่าคนเขียน แต่เป็นคนรับผิดชอบ อาจจะไม่ใช่แค่ตรวจทาน หรือพิสูจน์อักษร แต่บรรณาธิการเป็นเหมือนผู้กำกับนะ เอ๊ะ สาระอะไรที่จะเหมาะสม กับtheme ของหนังสือเล่มนี้ ควรจะมีอะไรบ้าง อันที่เขาเสนอมามันมีความเชื่อถือถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นหนังสือวิชาการ บรรณาธิการนี่เขาไม่ใช่ผู้รู้ไปทุกเรื่อง มันเป็นไปไม่ได้ เขาจะส่งไปให้ pre-review expert ทางด้านนั้นๆ ดูก่อน แล้วเขาจะตอบกลับมา บรรณาธิการก็จะต้องศึกษาเพื่อเพิ่มความมั่นใจ อาจจะให้ไปปรับแก้เล็กน้อยก่อนลง แต่ถ้าเป็นสาระทั่วไปที่ไม่ใช่วิชาการ บรรณาธิการก็จะรับมาแล้วก็ดูตรวจสอบความเหมาะสม ทั้งความถูกต้องของเนื้อหา แล้วความเหมาะสมที่จะสื่อสารออกมา เหมือนเป็นตัวแทนของตัว censor เป็นตัวกรอง ไปในตัวเพราะว่าอะไรครับ สิ่งใดที่เกิดขึ้นเขาฟ้องบรรณาธิการร่วมด้วย อาจจะเป็นผู้เขียนแต่แน่นอนบรรณาธิการ คุณจะต้องไปมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบนี้แน่นอน เพราะว่าบรรณาธิการก็คือ คนที่รับผิดชอบ เป็นปราการด่านสุดท้าย ก่อนที่หนังสือจะลงตีพิมพ์ออกมา อันนี้ผมหมายถึงหนังสือทั่วๆ ไป
อนุรักษ์: แล้วในคณะศึกษานี้ หรือมหาวิทยาลัยมีการทำวารสารและหนังสือ บรรณาธิการที่นี่ ทำอะไรบ้างครับ
ดร. สฎายุ: คือ คณะเรานี้บรรณาธิการก็คือ ผู้รับผิดชอบมีหลายคน อย่างวารสารของคณะศึกษาศาสตร์ ก็คือ คณบดีเป็นผู้บรรณาธิการเอง อย่างของเรามีจดหมายเหตุ จดหมายข่าวทางด้านศึกษาศาสตร์ แม้ว่ามันจะเป็นแค่จดหมายข่าว แต่เราก็มีบรรณาธิการนะ ว่าเนื้อหาสาระที่เราสื่อสารไปยังสาธารณะชนให้รับทราบ ไม่ใช่ว่าจะไปเอาสิ่งอะไรมา เราต้องมองตรงนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะภาพของสถาบันในส่วนที่รับผิดชอบหนังสือนั้นๆ บรรณาธิการก็ทำหน้าที่เป็นผู้เสมือนหนึ่งเป็นผู้แทนของสถาบันนั้นๆ ถ้าผมเป็นบรรณาธิการ อย่างตอนนี้ ผมรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการจดหมายข่าวอยู่ ผมไปเอาเรื่องอะไรที่มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ คลิปตรงนั้นคลิปตรงนี้เอามาลงสนุกสนาน มันไม่ตรงกับเรื่องแล้วบางทีมันก็กลายเป็นเราไม่ได้เสียคนเดียวนะ สถาบันมันเสียไปด้วยนะครับ ดังนั้นบรรณาธิการนี้มีความสำคัญครับ ตราบใดที่ว่าผู้บริโภคของเรานี้มี assumption ว่าเป็นผู้ชาญฉลาดนะ เขามีการเลือกนะ และยุคปัจจุบันนี้คนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ถ้าไปกระทบสิทธิ์ใคร ในรูปสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ นั้น มันต้องมีการพิจารณาตรงนี้เหมือนกัน บรรณาธิการนี่แหละ คือ คนที่จะรับผิดชอบ จะต้องคิดอย่างพิถีพิถันจริงๆ นะ บรรณาธิการนี้ผมว่าเป็นอะไรที่ไม่ง่ายนะครับ แต่ส่วนตัวผมเองไม่ได้มาทางนิเทศก็อาจจะไม่รู้ Definition หรือบทบาทที่ชัดเจนของบรรณาธิการ แต่วันหนึ่งจับพลัดจับผลู ต้องมาทำหน้าที่นี้ก็อาศัยในส่วนที่ว่าประสบการณ์ การสอบถาม และก็ทำงานจากผู้อื่นว่าจะทำอย่างไร แล้วลักษณะงานก็ให้แบ่งความรับผิดชอบกัน คนละคอลัมน์ๆ ไป แล้วจับมาใส่ เรามีการนัดประชุมก่อน ว่าตรงนี้จะลงเรื่องอะไร นี่ลงเรื่องอะไร ต้องวิเคราะห์อย่าง prudently แล้วว่าอะไรควรลง อะไรไม่ควรลง หรือถ้าควรลงหมดเลยอะไรควรมาก่อน อะไรควรมาหลัง ภาพจะเป็นอย่างไร ภาพนี้เหมาะไหม ตัวนี้ตัวอักษรลักษณะอย่างนี้ สาระนี้น่าจะครบถ้วนไหม อย่างที่ผ่านมานี้จดหมายข่าวคณะเราจะเป็นแบบ Past tense ค่อนข้างเยอะ คือเหตุการณ์อะไรในอดีตก็จะมาพูดให้ฟัง ที่นี้ผมมองปุ๊บ ผมคิดว่าเราน่าจะเปลี่ยนแปลงบ้าง เราทำไมไม่ลองเสนอเป็นแบบ future tense บ้างล่ะ ในภาพอนาคตว่าเราต้องการทำอะไร แล้วเสนอในความที่เป็นที่โดดเด่น ไม่ใช่ว่าอย่างนี้ก็จะเป็นแบบนี้ บางทีจดหมายข่าวนี้เดือนออกสองฉบับ สองเดือนออกหนึ่งฉบับ ผมคิดว่ามันจะต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เราใช้กระดาษไปอย่างไร้ค่าเปลืองทรัพยากรของประเทศ ไม่ได้อะไรขึ้นมา ถ้ามันเป็นสิ่งที่ผมมองว่าไม่น่าสนใจหรือดูแล้วมันไม่เป็นที่ตอบรับ การขับเคลื่อนนโยบายเท่าไหร่ ก็จะเลือกประชาสัมพันธ์วิธีอื่น ที่สำคัญมากกว่าเป็น future tense เป็นตัวสะท้อนกลับมาเรื่องนโยบายเรื่องวิสัยทัศน์อะไรนี่ ซึ่งหน้าที่นี้เป็นของบรรณาธิการ
อนุรักษ์: อาจารย์คิดว่าคุณสมบัติอย่างไรจึงจะได้เป็นบรรณาธิการ หรือว่าใครอยากทำในส่วนนี้ก็มาทำ หรือว่ามีการคัดเลือกมา
ดร. สฎายุ: คือจริงๆ แล้วคนที่จะเป็นบรรณาธิการ คือคนที่ได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่นี้ คนที่มีอำนาจในการมอบหมายให้มาทำตรงจุดนี้ ส่วนใหญ่แล้วคนที่มีอำนาจในการมอบหมายเขาจะมาเป็นบรรณาธิการเสียเอง แต่ถ้าเป็นหนังสือที่เอาแบบจริงๆจังๆเลย ที่แบบทำขายอะไรอย่างนั้น ที่ไม่ใช่หน่วยราชการ ผมว่ามีรายละเอียดเยอะมาก อย่างน้อยบรรณาธิการอาจจะมาจากคอลัมน์นิสต์ ที่เอามาลง ทำมานานและต่อเนื่อง จนมีประสบการณ์ และเป็นผู้รอบรู้เป็นผู้ที่มี connection นะครับ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร จนเขาเรียกว่าแก่กล้าพอสมควร แล้วค่อยขยับขึ้นมาเป็นบรรณาธิการ มันจะแตกต่างกัน แต่ในส่วนของผมจะเป็นเรื่องบรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมากกว่า แต่อย่างน้อยคนที่จะเป็นบรรณาธิการจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ รู้มาก เป็นคนรอบรู้ เอาง่ายๆ ถ้าไม่มีความรู้มันก็จะทำให้สาระไม่น่าเชื่อถือด้วย
ฉัตรธิดา: พูดมาขนาดนี้แน่นอนว่า อาจารย์ต้องเป็นนักอ่านด้วยใช่ไหมคะ อาจารย์ชอบอ่านหนังสือประเภทไหนบ้างค่ะ
ดร. สฎายุ: คือ ผมชอบอ่านหนังสือประเภทเรื่องสั้นที่เป็นประสบการณ์ หนังสือแปล อย่างเช่น Thing big future catches you เรื่องต่างๆ ที่เขาแปลมา หรือว่าหลักการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ ที่เขาบอกเล่าคือ ผมเชื่อว่าบางที ตอนเราเรียนเราก็อ่านพวกทฤษฎีมาเยอะ เรียนมันก็ถูกบังคับ เพราะต้องอ่าน คุณต้องสอบ ก็อาจจะมีความเครียดนิดหน่อย เวลาอ่านหนังสือพวกหนักๆ อย่างนั้น แต่ถ้าเราอ่านแบบเหมือนมีคนมาเล่าให้ฟัง บอกเล่าว่าอย่างนั้นนะ อย่างนี้นะ เขาผ่านอะไรมาบ้าง เขาเล่าในสิ่งที่เป็น Transit Knowledge ความรู้มันก็มีหลายแบบนะ ตัวความรู้อย่างหนึ่งที่เรียกว่าความรู้ซ่อนเร้น คือความรู้ที่ต้องถ่ายทอด ต้องsent story เล่าจากประสบการณ์ หนังสือแบบหนึ่งที่เรียกว่า pocketbook อะไรอย่างนั้น ที่เขานิยมทำต่างๆ แต่เราก็ต้องดูด้วยว่า pocketbook เป็นแบบไหน ถ้าพวกที่เล่าเรื่องต่างๆ มันก็อ่านแบบขำๆ คลายเครียดไป แต่ถ้าจะอ่านแบบเอาเป็นจริงเป็นจัง เอาเป็นการใช้ประโยชน์ให้เกิดผลงอกเงยทางปัญญาอะไรอย่างนั้น ต้องคิดนะ เพราะว่ามนุษย์นี่มันก็ต้องเลือกสรรในสิ่งที่จะรับเข้ามานะครับ การอ่านหนังสือก็เป็นการบริโภคอย่างหนึ่ง การบริโภคไม่ใช่แค่การกินอย่างเดียว การอ่านหนังสือก็เป็นการบริโภคอย่างหนึ่งนะครับ ถ้าเราไม่มีการเลือกไม่มีตัวกรองไปอ่านแต่สิ่งที่มันไม่ประเทืองปัญญา อ่านหนังสือโป้บ้าง ตีหัวหมา ด่าแม่แช่งกันไปเรื่อย หนังสืออะไรทำนองนั้นนะครับ ซึ่งลักษณะนั้นอ่านมันไม่ประเทืองปัญญา แล้วคนที่มีวุฒิภาวะยังไม่มาก ถ้าอ่านไปก็จะซึมซับในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมว่ามันก็น่ากลัวเหมือนกัน ดังนั้นเดี๋ยวนี้เราจะเห็นว่ามันก็ต้องมีการขออนุญาตนะครับ แต่ในขั้นตอน แต่ก่อนเขาว่ามีสันติบาลอะไรอย่างเนี่ย แต่ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากเหมือนกัน แต่มันคงมีขั้นตอนว่าหนังสือจะวางแผงอะไรออกมาได้
ฉัตรธิดา: อัตราการซื้อหนังสือของอาจารย์บ่อยไหมคะ
ดร.สฎายุ: ประมาณนะ บอกตรงๆ ว่าชอบหนังสือลดราคา เพราะว่าไม่รู้นะด้วยความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์ ไปด้วย หนังสือใหม่ๆ เนี่ยไม่ซื้อไปอ่านที่ห้องสมุด เพราะว่ามันแพงนะครับ แต่ถ้าหนังสือที่อยากได้สุดๆ ก็รอซื้อตอนช่วงลดราคาเพราะแป๊บนึ่งมันก็ลดราคาแล้ว โชคดี เมืองไทยหนังสือราคาถูก ถ้าเป็นเมืองนอกหนังสือแพง เพราะว่าเขาให้value กับคนที่คิดอะไรขึ้นมาสักอย่างพอขายได้ และขายดีมันก็เป็นแรงจูงใจที่อยากจะเขียนหนังสือดีๆขึ้นมา เพราะว่ามันได้สตางค์อยู่นี่ แต่ถ้าเมืองไทยเขียน ส่วนใหญ่ก็ไม่ ถ้าเป็นแบบมีสาระอะไรอย่างนี้ที่นี่นะ มันจะเป็นวิทยาทานมากกว่า แต่อันที่ขายดีนะครับจะเป็นสาระอย่างที่ผมบอกขำๆ ปาปารัสซี่ หนังสือแนวอะไรขายดี คุณไปดูสิ มีแต่เรื่องเกี่ยวกับชาวบ้าน สอดรู้สอดเห็น อะไรพวกนี้ไปเรื่อยเลย ทำไมหนังสือพวกนี้ขายดี เพราะว่านิสัยของคน พื้นฐานอาจจะอยากรู้อยากเห็นอะไรไป ถ้าใครมาทำตรงนี้ก็จะขายได้ดี แต่ถ้าเป็นหนังสือพวกการบอกเล่าว่าอย่างนี้ หนังสือ Geographic หนังสือของTIME หนังสือในเรื่องของการวิเคราะห์ หนังสือเรื่องการศึกษา ถ้าไม่มีหน่วยงานของรัฐหรือมูลนิที่มาสนับสนุน ผมว่าแรงจูงใจในทางเศรษฐกิจต่ำมาก เราจะอ่านสาระเนื้อหาอะไรพวกนี้ค่อนข้างน้อยเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นร้านหนังสือของมหาวิทยาลัยมันก็พอได้ แต่ถ้าเป็นร้านหนังสือทั่วๆ ไปคุณผ่านไปตลาดหนองมนคุณดูสิ มีลักษณะเป็นแบบไหน ถ้าไม่ใช่นายอินทร์หรือซีเอ็ดอะไรแบบนี้นะ คุณก็จะเห็นแผงหนังสือซะมากกว่าเป็นแบบหนังสืออ่านเพลินๆ บางทีมันไม่เหมือนของญี่ปุ่นนี้นะ ที่เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มเล็กๆ ระหว่างรอขึ้นรถ ใช้เวลาว่างอ่านไปเรื่อยๆ หนังสือที่เขาอ่านก็จะเป็นแบบที่ผมพูดคือส่วนใหญ่เป็นประสบการณ์ เพราะว่าชีวิตของเขาอาจจะไม่ค่อยได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับใคร เขาก็อาศัยการอ่านนี้แหละ แล้วก็ศึกษา อ่านเสร็จแล้วอาจจะมี การแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้างอะไรอย่างนี้นะครับ สมัยก่อนรุ่นคุณทันเปล่าสมัยผมจะให้อ่าน outside reading คือหนังสืออ่านนอกเวลา เช่น เรื่องเจ้ามอม เรื่องนู้นบางเรื่องนี้บ้าง เขาฝึกให้เรามีนิสัยรักการอ่าน และอีกส่วนหนึ่งผมขอฝากไว้ว่าไม่ใช่เฉพาะนิสัยรักการอ่านเพียงอย่างเดียว แต่ต้องฝึกให้มีวิจารณญาณในการอ่านเรื่อง สื่อที่บริโภค โดยเฉพาะตอนนี้อ่านหนังสือในอินเตอร์ก็ได้แล้ว แต่จะมีเด็กสักกี่คนที่จะอ่านจริงๆ เด็กสิบคนเข้าอินเตอร์เน็ตแล้วจะดูหนังสือกี่คน คำตอบมีอยู่ในใจแล้ว ต้องยอมรับว่าไม่มาก แล้วเด็กจะดูอะไรร้อยแปดพันเก้า เกมออนไลน์อีกล่ะ นั่นแหละคือ สิ่งที่เราน่าจะคิดว่าควรจะทำอย่างไร เราจะสร้างภูมิคุ้มกันให้คนเรามีวิจารณญาณ ในการที่จะเลือกบริโภคหนังสือ หรือสิ่งต่างๆ รักการอ่านเป็นสิ่งดี แต่ต้องสร้างวิจารณญาณเป็นภูมิคุ้มกันด้วยจะได้ดียิ่งขึ้น
ฉัตรธิดา: อาจารย์คิดว่าในบางแสนมีร้านหนังสือเพียงพอต่อความต้องการหรือเปล่า ควรจะมีร้านหนังสือเพิ่มขึ้นอีกไหม
ดร.สฎายุ: ถ้าต้องเปิดขึ้น จะต้องมีแหล่งสนับสนุน แต่สำหรับผมนะ ถ้าผมมีเงินสี่ห้าแสนนะครับ ไปกู้แบงค์หรือSME จะลงทุนอะไร ลงทุนทำหนังสือ เขาก็คงไม่ปล่อยให้ผมกู้หรอกเชื่อไหม
ฉัตรธิดา: ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ
ดร.สฎายุ: กลัวเจ๊งครับ แบงค์เขาปล่อยกู้เขาก็ต้องมองแล้วว่าจะไปได้หรือเปล่า จะเจ๊งไหม ผมหมายถึงขายหนังสืออย่างที่ว่านี่นะครับ แต่อย่างศูนย์หนังสือจุฬาฯนี่นะ เขาใหญ่พอที่จะเอาหนังสือมาวางโดยไม่จ่ายเงิน นึกออกไหมครับ อย่างผมเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเอาไปวางศูนย์หนังสือ ผมไปวางบิลไว้ ถ้าขายได้ผมก็มาเก็บเงิน ขายไม่ได้ผมก็เอาหนังสือกลับ แล้วผมก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ให้เขา 5% 10% อะไรก็แล้วแต่ เขาแค่ให้ชั้นวางหนังสือผมวางแค่นั้น อย่างนี้มีการลงทุนไหม ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ร้านหนังสือถ้าเปิดมาปุ๊บ เราไม่มีชื่อก็คงไม่ได้หรอก ในมอบูมีศูนย์หนังสือจุฬาฯ ข้างนอกมีซีเอ็ด ตามห้างใหญ่ๆ ก็มีร้านหนังสือเยอะแยะ แต่ถ้าถามว่ามีคนเข้ามากไหม เข้ามาอ่านเพื่อฆ่าเวลาก็มี แต่ที่ซื้อออกมาผมว่าไม่ค่อยมาก เท่าไหร่
อนุรักษ์: อาจารย์มีนักเขียนในดวงใจไหม หรือชอบหนังสืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ
ดร.สฎายุ: นักเขียนในดวงใจหรอ คือส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยยึดติดกับคนนะ ผมจะดูที่เนื้อหาสาระมากกว่า อย่างแรกที่คุณจะซื้อคุณดูอะไรก่อน
ดร. สฎายุ: คือจริงๆ แล้วคนที่จะเป็นบรรณาธิการ คือคนที่ได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่นี้ คนที่มีอำนาจในการมอบหมายให้มาทำตรงจุดนี้ ส่วนใหญ่แล้วคนที่มีอำนาจในการมอบหมายเขาจะมาเป็นบรรณาธิการเสียเอง แต่ถ้าเป็นหนังสือที่เอาแบบจริงๆจังๆเลย ที่แบบทำขายอะไรอย่างนั้น ที่ไม่ใช่หน่วยราชการ ผมว่ามีรายละเอียดเยอะมาก อย่างน้อยบรรณาธิการอาจจะมาจากคอลัมน์นิสต์ ที่เอามาลง ทำมานานและต่อเนื่อง จนมีประสบการณ์ และเป็นผู้รอบรู้เป็นผู้ที่มี connection นะครับ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร จนเขาเรียกว่าแก่กล้าพอสมควร แล้วค่อยขยับขึ้นมาเป็นบรรณาธิการ มันจะแตกต่างกัน แต่ในส่วนของผมจะเป็นเรื่องบรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมากกว่า แต่อย่างน้อยคนที่จะเป็นบรรณาธิการจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ รู้มาก เป็นคนรอบรู้ เอาง่ายๆ ถ้าไม่มีความรู้มันก็จะทำให้สาระไม่น่าเชื่อถือด้วย
ฉัตรธิดา: พูดมาขนาดนี้แน่นอนว่า อาจารย์ต้องเป็นนักอ่านด้วยใช่ไหมคะ อาจารย์ชอบอ่านหนังสือประเภทไหนบ้างค่ะ
ดร. สฎายุ: คือ ผมชอบอ่านหนังสือประเภทเรื่องสั้นที่เป็นประสบการณ์ หนังสือแปล อย่างเช่น Thing big future catches you เรื่องต่างๆ ที่เขาแปลมา หรือว่าหลักการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ ที่เขาบอกเล่าคือ ผมเชื่อว่าบางที ตอนเราเรียนเราก็อ่านพวกทฤษฎีมาเยอะ เรียนมันก็ถูกบังคับ เพราะต้องอ่าน คุณต้องสอบ ก็อาจจะมีความเครียดนิดหน่อย เวลาอ่านหนังสือพวกหนักๆ อย่างนั้น แต่ถ้าเราอ่านแบบเหมือนมีคนมาเล่าให้ฟัง บอกเล่าว่าอย่างนั้นนะ อย่างนี้นะ เขาผ่านอะไรมาบ้าง เขาเล่าในสิ่งที่เป็น Transit Knowledge ความรู้มันก็มีหลายแบบนะ ตัวความรู้อย่างหนึ่งที่เรียกว่าความรู้ซ่อนเร้น คือความรู้ที่ต้องถ่ายทอด ต้องsent story เล่าจากประสบการณ์ หนังสือแบบหนึ่งที่เรียกว่า pocketbook อะไรอย่างนั้น ที่เขานิยมทำต่างๆ แต่เราก็ต้องดูด้วยว่า pocketbook เป็นแบบไหน ถ้าพวกที่เล่าเรื่องต่างๆ มันก็อ่านแบบขำๆ คลายเครียดไป แต่ถ้าจะอ่านแบบเอาเป็นจริงเป็นจัง เอาเป็นการใช้ประโยชน์ให้เกิดผลงอกเงยทางปัญญาอะไรอย่างนั้น ต้องคิดนะ เพราะว่ามนุษย์นี่มันก็ต้องเลือกสรรในสิ่งที่จะรับเข้ามานะครับ การอ่านหนังสือก็เป็นการบริโภคอย่างหนึ่ง การบริโภคไม่ใช่แค่การกินอย่างเดียว การอ่านหนังสือก็เป็นการบริโภคอย่างหนึ่งนะครับ ถ้าเราไม่มีการเลือกไม่มีตัวกรองไปอ่านแต่สิ่งที่มันไม่ประเทืองปัญญา อ่านหนังสือโป้บ้าง ตีหัวหมา ด่าแม่แช่งกันไปเรื่อย หนังสืออะไรทำนองนั้นนะครับ ซึ่งลักษณะนั้นอ่านมันไม่ประเทืองปัญญา แล้วคนที่มีวุฒิภาวะยังไม่มาก ถ้าอ่านไปก็จะซึมซับในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมว่ามันก็น่ากลัวเหมือนกัน ดังนั้นเดี๋ยวนี้เราจะเห็นว่ามันก็ต้องมีการขออนุญาตนะครับ แต่ในขั้นตอน แต่ก่อนเขาว่ามีสันติบาลอะไรอย่างเนี่ย แต่ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากเหมือนกัน แต่มันคงมีขั้นตอนว่าหนังสือจะวางแผงอะไรออกมาได้
ฉัตรธิดา: อัตราการซื้อหนังสือของอาจารย์บ่อยไหมคะ
ดร.สฎายุ: ประมาณนะ บอกตรงๆ ว่าชอบหนังสือลดราคา เพราะว่าไม่รู้นะด้วยความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์ ไปด้วย หนังสือใหม่ๆ เนี่ยไม่ซื้อไปอ่านที่ห้องสมุด เพราะว่ามันแพงนะครับ แต่ถ้าหนังสือที่อยากได้สุดๆ ก็รอซื้อตอนช่วงลดราคาเพราะแป๊บนึ่งมันก็ลดราคาแล้ว โชคดี เมืองไทยหนังสือราคาถูก ถ้าเป็นเมืองนอกหนังสือแพง เพราะว่าเขาให้value กับคนที่คิดอะไรขึ้นมาสักอย่างพอขายได้ และขายดีมันก็เป็นแรงจูงใจที่อยากจะเขียนหนังสือดีๆขึ้นมา เพราะว่ามันได้สตางค์อยู่นี่ แต่ถ้าเมืองไทยเขียน ส่วนใหญ่ก็ไม่ ถ้าเป็นแบบมีสาระอะไรอย่างนี้ที่นี่นะ มันจะเป็นวิทยาทานมากกว่า แต่อันที่ขายดีนะครับจะเป็นสาระอย่างที่ผมบอกขำๆ ปาปารัสซี่ หนังสือแนวอะไรขายดี คุณไปดูสิ มีแต่เรื่องเกี่ยวกับชาวบ้าน สอดรู้สอดเห็น อะไรพวกนี้ไปเรื่อยเลย ทำไมหนังสือพวกนี้ขายดี เพราะว่านิสัยของคน พื้นฐานอาจจะอยากรู้อยากเห็นอะไรไป ถ้าใครมาทำตรงนี้ก็จะขายได้ดี แต่ถ้าเป็นหนังสือพวกการบอกเล่าว่าอย่างนี้ หนังสือ Geographic หนังสือของTIME หนังสือในเรื่องของการวิเคราะห์ หนังสือเรื่องการศึกษา ถ้าไม่มีหน่วยงานของรัฐหรือมูลนิที่มาสนับสนุน ผมว่าแรงจูงใจในทางเศรษฐกิจต่ำมาก เราจะอ่านสาระเนื้อหาอะไรพวกนี้ค่อนข้างน้อยเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นร้านหนังสือของมหาวิทยาลัยมันก็พอได้ แต่ถ้าเป็นร้านหนังสือทั่วๆ ไปคุณผ่านไปตลาดหนองมนคุณดูสิ มีลักษณะเป็นแบบไหน ถ้าไม่ใช่นายอินทร์หรือซีเอ็ดอะไรแบบนี้นะ คุณก็จะเห็นแผงหนังสือซะมากกว่าเป็นแบบหนังสืออ่านเพลินๆ บางทีมันไม่เหมือนของญี่ปุ่นนี้นะ ที่เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มเล็กๆ ระหว่างรอขึ้นรถ ใช้เวลาว่างอ่านไปเรื่อยๆ หนังสือที่เขาอ่านก็จะเป็นแบบที่ผมพูดคือส่วนใหญ่เป็นประสบการณ์ เพราะว่าชีวิตของเขาอาจจะไม่ค่อยได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับใคร เขาก็อาศัยการอ่านนี้แหละ แล้วก็ศึกษา อ่านเสร็จแล้วอาจจะมี การแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้างอะไรอย่างนี้นะครับ สมัยก่อนรุ่นคุณทันเปล่าสมัยผมจะให้อ่าน outside reading คือหนังสืออ่านนอกเวลา เช่น เรื่องเจ้ามอม เรื่องนู้นบางเรื่องนี้บ้าง เขาฝึกให้เรามีนิสัยรักการอ่าน และอีกส่วนหนึ่งผมขอฝากไว้ว่าไม่ใช่เฉพาะนิสัยรักการอ่านเพียงอย่างเดียว แต่ต้องฝึกให้มีวิจารณญาณในการอ่านเรื่อง สื่อที่บริโภค โดยเฉพาะตอนนี้อ่านหนังสือในอินเตอร์ก็ได้แล้ว แต่จะมีเด็กสักกี่คนที่จะอ่านจริงๆ เด็กสิบคนเข้าอินเตอร์เน็ตแล้วจะดูหนังสือกี่คน คำตอบมีอยู่ในใจแล้ว ต้องยอมรับว่าไม่มาก แล้วเด็กจะดูอะไรร้อยแปดพันเก้า เกมออนไลน์อีกล่ะ นั่นแหละคือ สิ่งที่เราน่าจะคิดว่าควรจะทำอย่างไร เราจะสร้างภูมิคุ้มกันให้คนเรามีวิจารณญาณ ในการที่จะเลือกบริโภคหนังสือ หรือสิ่งต่างๆ รักการอ่านเป็นสิ่งดี แต่ต้องสร้างวิจารณญาณเป็นภูมิคุ้มกันด้วยจะได้ดียิ่งขึ้น
ฉัตรธิดา: อาจารย์คิดว่าในบางแสนมีร้านหนังสือเพียงพอต่อความต้องการหรือเปล่า ควรจะมีร้านหนังสือเพิ่มขึ้นอีกไหม
ดร.สฎายุ: ถ้าต้องเปิดขึ้น จะต้องมีแหล่งสนับสนุน แต่สำหรับผมนะ ถ้าผมมีเงินสี่ห้าแสนนะครับ ไปกู้แบงค์หรือSME จะลงทุนอะไร ลงทุนทำหนังสือ เขาก็คงไม่ปล่อยให้ผมกู้หรอกเชื่อไหม
ฉัตรธิดา: ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ
ดร.สฎายุ: กลัวเจ๊งครับ แบงค์เขาปล่อยกู้เขาก็ต้องมองแล้วว่าจะไปได้หรือเปล่า จะเจ๊งไหม ผมหมายถึงขายหนังสืออย่างที่ว่านี่นะครับ แต่อย่างศูนย์หนังสือจุฬาฯนี่นะ เขาใหญ่พอที่จะเอาหนังสือมาวางโดยไม่จ่ายเงิน นึกออกไหมครับ อย่างผมเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเอาไปวางศูนย์หนังสือ ผมไปวางบิลไว้ ถ้าขายได้ผมก็มาเก็บเงิน ขายไม่ได้ผมก็เอาหนังสือกลับ แล้วผมก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ให้เขา 5% 10% อะไรก็แล้วแต่ เขาแค่ให้ชั้นวางหนังสือผมวางแค่นั้น อย่างนี้มีการลงทุนไหม ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ร้านหนังสือถ้าเปิดมาปุ๊บ เราไม่มีชื่อก็คงไม่ได้หรอก ในมอบูมีศูนย์หนังสือจุฬาฯ ข้างนอกมีซีเอ็ด ตามห้างใหญ่ๆ ก็มีร้านหนังสือเยอะแยะ แต่ถ้าถามว่ามีคนเข้ามากไหม เข้ามาอ่านเพื่อฆ่าเวลาก็มี แต่ที่ซื้อออกมาผมว่าไม่ค่อยมาก เท่าไหร่
อนุรักษ์: อาจารย์มีนักเขียนในดวงใจไหม หรือชอบหนังสืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ
ดร.สฎายุ: นักเขียนในดวงใจหรอ คือส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยยึดติดกับคนนะ ผมจะดูที่เนื้อหาสาระมากกว่า อย่างแรกที่คุณจะซื้อคุณดูอะไรก่อน
ฉัตรธิดา: หน้าปกคะ และก็สารบัญ
ดร.สฎายุ: ผมจะอ่านคำนำกับแรงบันดาลใจในการเขียน อยากจะสอดรับว่าเขาต้องการจะถ่ายทอดจิตวิญญาณที่เขาเรียงร้อยมาเป็นตัวหนังสือ ผมไม่ได้มีโอกาสไปคุยกับเขา อ่านตรงนั้น แล้วก็ไปอ่านสารบัญแล้วก็ดูว่ามันตีพิมพ์เมื่อไหร่ ซื้อทั้งทีก็อยากได้ของใหม่ๆนะครับ องค์ความรู้มันพัฒนาไปเรื่อยๆ ครับ
อนุรักษ์: อาจารย์อยากจะบอกหรืออยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับการทำหนังสือเพิ่มเติมอีกไหมครับ
ดร.สฎายุ: ก็อย่างที่พูดไปนั่นแหละครับว่านอกจากจะส่งเสริมเรื่องรักการอ่านแล้ว ก็ให้ดูเรื่องจะทำอย่างไรให้คนเขามีภูมิคุ้มกันมีวิจารณญาณในการอ่านด้วย รู้และเลือกที่จะบริโภคหนังสือที่มีสาระ อย่างของรัฐบาลผมว่าอยากให้ส่งเสริมในเรื่องสิทธิบัตรทางปัญญานะครับ บางทีภาคการศึกษาเองเนี่ย ผมของถามหน่อยว่า คนเขียนได้หรือร้านถ่ายเอกสารรวย คำตอบทุกคนรู้อยู่แล้ว มันไม่มีแรงจูงใจที่อยากจะเขียนตรงนี้ ผมไปเปิดร้านถ่ายเอกสารไม่ดีกว่าหรอ จริงไหม เมืองนอกไม่ได้นะครับ คุณไปถ่ายเอกสารเขาฟ้องตายเลยนะ คุณต้องซื้อเท่านั้น ที่เขาถ่ายเอกสาร เขาหมายถึง เพียงนิดๆหน่อยๆ ของเรานี่ถ่ายเอกสารกันทั้งเล่มหน้าปกเหมือนเป๊ะ ใช้กระดาษดีกว่าของเขาด้วย เผลอๆราคาถูกกว่านะ ไม่ต้องคิดแล้วจริงไหม นักศึกษาก็ซื้อกันไปหมด คนเขียนก็เป็นวิทยาทานให้นอกจากในกลุ่มผู้อ่านแล้วยังเป็นการทำทานกลุ่มร้านถ่ายเอกสารด้วย นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากจะสื่ออะไรบางอย่าง
ฉัตรธิดา: อาจารย์ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ไหมคะ
อนุรักษ์: อาจารย์อยากจะบอกหรืออยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับการทำหนังสือเพิ่มเติมอีกไหมครับ
ดร.สฎายุ: ก็อย่างที่พูดไปนั่นแหละครับว่านอกจากจะส่งเสริมเรื่องรักการอ่านแล้ว ก็ให้ดูเรื่องจะทำอย่างไรให้คนเขามีภูมิคุ้มกันมีวิจารณญาณในการอ่านด้วย รู้และเลือกที่จะบริโภคหนังสือที่มีสาระ อย่างของรัฐบาลผมว่าอยากให้ส่งเสริมในเรื่องสิทธิบัตรทางปัญญานะครับ บางทีภาคการศึกษาเองเนี่ย ผมของถามหน่อยว่า คนเขียนได้หรือร้านถ่ายเอกสารรวย คำตอบทุกคนรู้อยู่แล้ว มันไม่มีแรงจูงใจที่อยากจะเขียนตรงนี้ ผมไปเปิดร้านถ่ายเอกสารไม่ดีกว่าหรอ จริงไหม เมืองนอกไม่ได้นะครับ คุณไปถ่ายเอกสารเขาฟ้องตายเลยนะ คุณต้องซื้อเท่านั้น ที่เขาถ่ายเอกสาร เขาหมายถึง เพียงนิดๆหน่อยๆ ของเรานี่ถ่ายเอกสารกันทั้งเล่มหน้าปกเหมือนเป๊ะ ใช้กระดาษดีกว่าของเขาด้วย เผลอๆราคาถูกกว่านะ ไม่ต้องคิดแล้วจริงไหม นักศึกษาก็ซื้อกันไปหมด คนเขียนก็เป็นวิทยาทานให้นอกจากในกลุ่มผู้อ่านแล้วยังเป็นการทำทานกลุ่มร้านถ่ายเอกสารด้วย นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากจะสื่ออะไรบางอย่าง
ฉัตรธิดา: อาจารย์ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ไหมคะ
ดร.สฎายุ: อ่านตลอดครับอ่านทุกวันเลย การอ่านหนังสือพิมพ์นี่นะ ลองไปศึกษาดูให้ดีมันมีทั้งด้านบวกและด้านลบ อย่างที่ผมกล่าวมาแล้วนั้นแหละว่ามันมีทั้งสาระและไม่มีสาระ หนังสือพิมพ์ที่ขายดีลองไปดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะประเทืองปัญญาเท่าไหร่ อาจจะบอกได้อีกมุมหนึ่งว่ามันเป็นอุทาหรณ์แก่สังคม มันเกิดการเลียนแบบ อย่างการข่มขืน เขาเขียนมาบรรยายเสร็จเลยว่าเริ่มแรกทำอย่างไรบ้าง อย่างที่เห็นๆ อยู่ ผมชอบอ่านหนังสือพิมพ์มติชน เพราะจะมีคอลัมน์วิเคราะห์วิจารณ์เยอะนะครับ และก็เปิดกว้างทางความคิดนะ เราอยากจะเขียนอะไรก็ส่งไป เขาจะมีบรรณาธการดูว่าบทความที่ส่งไปดีไหม ถ้าดีเขาก็จะลงไปสตางค์ตรงนั้นก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นวิทยาทานจริงๆ เดี๋ยวนี้เขาไม่ชอบอ่านข่าวเฉยๆชอบให้คนมาวิเคราะห์ให้อีกทีนึง เมื่อก่อนจะอ่านข่าวฉบับไหนก็เหมือนๆ กัน แต่เดี๋ยวนี้มีคนมาวิเคราะห์ให้อ่านเป็นการแสดงความคิดเห็นลงไปด้วย
ฉัตรธิดา: อาจารย์อยากจะพูดอะไรหรืออยากจะฝากข้อคิดอะไรไหมคะ
ดร.สฎายุ: ผมประทับใจภาพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในห้องสมุด ที่ท่านแสดงให้เห็นถึงการอ่าน อยากให้เราช่วยเผยแพร่สิ่งนี้นะครับ แล้วการอ่านเป็นการฝึกสมาธิด้วยนะครับ เพราะคุณต้องมีสมาธิเวลาอ่านหนังสือ อย่างที่เขาบอกว่าเด็กสมาธิสั้น ก็มักไม่ได้รับการฝึกใช้สมาธิสักเท่าไหร่ แต่การอ่านหนังสือนะครับ เขามีการวิจัยว่าปีหนึ่งอ่านกันกี่นาที แล้วส่วนใหญ่อ่านเรื่องอะไร อย่างที่เห็นเราจะสอบเฉพาะสอบ ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีการสอบ จะมีคนไทยสักกี่คนที่อ่านหนังสือแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องสอบ หรือเพราะลักษณะงานที่เขาต้องทำ อ่านเพื่อที่จะเรียนรู้ และพัฒนาการมีน้อย ส่วนใหญ่จะอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน ดังนั้นผมของฝากในมุมมองของผมที่อยู่ในด้านการบริหารการศึกษา ผมจะขอฝากตั้งแต่ผู้บริหารการศึกษาเพราะว่าดูแลเด็ก ผมเชื่อว่าการปลูกฝังจะช่วยได้เยอะ ทำห้องสมุดมีชีวิต ทำโครงการของกระทรวงส่งเสริมเยอะแยะเลย ดูแล้วน่าสนใจ เป็นแหล่งที่ให้บริการ หนังสือดีมีคุณค่า แต่ถ้าคนไม่อ่านก็จะเสมือนกับไก่ได้พลอย ที่ไม่รู้ถึงคุณค่าของมันต้องฝากถึงนักเขียนด้วยที่ว่าจะเขียนอย่างไรให้คนอ่านวางไม่ลง จะใช้การนำเสนอแบบไหน ขนาดเท่าไหร่ ตัวอักษรอะไร กระดาษเป็นอย่างไร จุดพักสายตาควรมีหรือเปล่าถ้ถามีจะอยู่ตรงไหน อะไรอย่างนี้ ถ้าทุกคนใส่ใจในทุกรายละเอียด พิถีพิถันได้ขนาดนี้ผมว่ามันโอเคแล้วนะ
ฉัตรธิดา: อาจารย์อยากจะพูดอะไรหรืออยากจะฝากข้อคิดอะไรไหมคะ
ดร.สฎายุ: ผมประทับใจภาพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในห้องสมุด ที่ท่านแสดงให้เห็นถึงการอ่าน อยากให้เราช่วยเผยแพร่สิ่งนี้นะครับ แล้วการอ่านเป็นการฝึกสมาธิด้วยนะครับ เพราะคุณต้องมีสมาธิเวลาอ่านหนังสือ อย่างที่เขาบอกว่าเด็กสมาธิสั้น ก็มักไม่ได้รับการฝึกใช้สมาธิสักเท่าไหร่ แต่การอ่านหนังสือนะครับ เขามีการวิจัยว่าปีหนึ่งอ่านกันกี่นาที แล้วส่วนใหญ่อ่านเรื่องอะไร อย่างที่เห็นเราจะสอบเฉพาะสอบ ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีการสอบ จะมีคนไทยสักกี่คนที่อ่านหนังสือแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องสอบ หรือเพราะลักษณะงานที่เขาต้องทำ อ่านเพื่อที่จะเรียนรู้ และพัฒนาการมีน้อย ส่วนใหญ่จะอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน ดังนั้นผมของฝากในมุมมองของผมที่อยู่ในด้านการบริหารการศึกษา ผมจะขอฝากตั้งแต่ผู้บริหารการศึกษาเพราะว่าดูแลเด็ก ผมเชื่อว่าการปลูกฝังจะช่วยได้เยอะ ทำห้องสมุดมีชีวิต ทำโครงการของกระทรวงส่งเสริมเยอะแยะเลย ดูแล้วน่าสนใจ เป็นแหล่งที่ให้บริการ หนังสือดีมีคุณค่า แต่ถ้าคนไม่อ่านก็จะเสมือนกับไก่ได้พลอย ที่ไม่รู้ถึงคุณค่าของมันต้องฝากถึงนักเขียนด้วยที่ว่าจะเขียนอย่างไรให้คนอ่านวางไม่ลง จะใช้การนำเสนอแบบไหน ขนาดเท่าไหร่ ตัวอักษรอะไร กระดาษเป็นอย่างไร จุดพักสายตาควรมีหรือเปล่าถ้ถามีจะอยู่ตรงไหน อะไรอย่างนี้ ถ้าทุกคนใส่ใจในทุกรายละเอียด พิถีพิถันได้ขนาดนี้ผมว่ามันโอเคแล้วนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น